The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / Editor / จาก “โรงละคร” ถึง “โรงหนัง” แง้มม่าน “แมนสรวง” ผ่านเรื่องจริงยุคพระนั่งเกล้า
Editor

จาก “โรงละคร” ถึง “โรงหนัง” แง้มม่าน “แมนสรวง” ผ่านเรื่องจริงยุคพระนั่งเกล้า

adisak.mha
Last updated: 25 ส.ค. 2023 13:57
adisak.mha
Share
SHARE

      เป็นเวลาร่วมครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่ Be On Cloud ประกาศว่าจะสร้างภาพยนตร์ “แมนสรวง” โดยเลือก “มาย – ภาคภูมิ” และ “อาโป – ณัฐวิญญ์” เป็นนักแสดงนำ ห้วงเวลานั้นเร้าให้เราตื่นเต้นและรอคอยการมาสู่จอเงินของภาพยนตร์นี้ในทุกมิติเท่าที่จะนึกออก – ตื่นเต้นที่ภาพยนตร์วายจะบรรจบกับความเป็นภาพยนตร์พีเรียด ตื่นเต้นกับงานศิลป์ที่อลังการ ผสมผสานกับศิลปะการแสดงอย่างไทย และตื่นเต้นว่า “สารสำคัญ” ของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ยิ่งประกอบกับการโปรโมตที่ส่งเสริมศิลปะและย่านสร้างสรรค์อย่าง “ทรงวาด” ก็ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

      เราคาดว่าความตื่นเต้นเหล่านั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อเราได้ชม “แมนสรวง”

      แต่ไม่เลย ความตื่นเต้นเหล่านั้นยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก

      เนื้อเรื่องที่เข้มข้น ปมปัญหาที่ซับซ้อน นาฏยศิลป์ที่งดงาม ความสัมพันธ์สามเหลี่ยม (?) ของตัวละครหลักในวงแสดงอย่าง “เขม” นายรำฝีมือเอก “ฉัตร” มือตะโพน และ “ว่าน” เพื่อนรักของเขม รวมถึงการแสดงของนักแสดงทุกคนที่สมบทบาทจนเราอดชื่นชมไม่ได้ ยิ่งมี “ปอนด์ – กฤษดา” จาก KinnPorsche The Series เป็นผู้กำกับ เสริมทัพด้วย “แน็ต – ชาติชาย” และ “ครูหนิง – พันพัสสา” ซึ่งมาจากสายละครเวทีแล้ว ยิ่งขับให้แมนสรวง “ไปสุด” ในทุก ๆ องค์ประกอบ 

      และเมื่อพูดถึงภาพยนตร์หรือละครพีเรียดซึ่งต้องยอมรับว่ามีทั่วไปในตลาดแล้ว Pain Point สำคัญคือการศึกษาและตีความประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งหากอ้างอิงได้ดี ปรับใช้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ มีรสชาติกลมกล่อม ไม่มีรสใดรสหนึ่งโดดออกมา 

      การเลือกช่วงเวลาของเรื่องเป็นช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ซึ่งปรากฏหลักฐานทั้งความหลากหลายทางเชื้อชาติ ความหลากหลายทางเพศ และการชิงไหวชิงพริบทางอำนาจของชนชั้นนำในสังคมจึงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะผู้สร้างหลายคนใช้ช่องว่างในช่วงเวลานี้สร้างหนัง-ละครพีเรียดมากมายที่มีต่างรสกันไป

      “แมนสรวง” คือตัวอย่างภาพยนตร์ในช่วงนี้ที่มีรสกลมกล่อม น่าดูชมนัก

      เราจึงอยากพาทุกคนไปสัมผัสบางมิติที่มีอยู่ “จริง” และเชื่อมโยงกับ “แมนสรวง” ในฐานะเกร็ดสนุก ๆ ที่เพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง

      ว่าแล้วก็เตรียมตัวไปแง้มม่านดู “มหรสพ” กันเลยดีกว่า

“มิให้คนทั้งหลายสงสัย”
ความบันเทิง อำนาจ และชายรักชาย (?)

      สิ่งที่เราเห็นได้ชัดที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือการพยายามชูบทบาทของฉากหลักอย่าง “แมนสรวง” ให้เป็นสถานเริงรมย์ที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือด้านความบันเทิง ทั้งนายรำ นางโลม และวงดนตรี ที่ถึงแม้จะเป็นโรงมหรสพของคนจีนแต่ก็ครบเครื่องไม่แพ้ของคนไทย ที่แห่งนี้เองที่เขม (อาโป-ณัฐวิญญ์) และว่าน (บาส-อัศวภัทร์) ต้องเข้าไปแฝงตัวเพื่อค้นหา “ความลับสำคัญ” แลกกับการมีชีวิตที่ดีขึ้น

      แง่หนึ่ง การพยายามฉายให้เห็นถึงศิลปะขนบไทยอย่างการรำละครและดนตรีไทยอาจมองเป็นการชู Soft Power ในบริบทสังคมปัจจุบัน นึกภาพว่าถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โชว์นาฏศิลป์ที่อลังการเป็นไฮไลต์หนึ่งที่เราต้องมาชมสักครั้ง แต่หากมองในอีกบริบทหนึ่ง การอุ้มชูศิลปะอันทรงคุณค่านี้เป็นแสดงให้เห็นถึง Hard Power อย่างชัดเจน 

      ย้อนกลับไปในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ บรรดาเจ้านายและขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์ล้วนมีคณะละครและวงดนตรีเป็นของตน ธรรมเนียมเช่นนี้สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยา จนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เลยทีเดียว และหากเป็นแผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ เจ้านายและเจ้าคณะละครที่ทรงอิทธิพลที่สุดในบ้านเมืองคงจะหนีไม่พ้น “หม่อมไกรสร” (อดีตกรมหลวงรักษ์รณเรศ) ผู้เป็นเบื้องหลังสำคัญในการบริหารราชการในแผ่นดินดังกล่าว โดยถึงแม้จะครองตำแหน่งเจ้ากรมสังฆการี กำกับดูแลคณะสงฆ์ทั้งสยาม แต่อำนาจของหม่อมไกรสรไพศาลถึงขั้นตัดสินคดีความชี้เป็นชี้ตายผู้คนเลยทีเดียว 

      ทว่าอำนาจคือดาบสองคม บารมีของหม่อมไกรสรอาจล้นฟ้าจนคนทั้งหลายยำเกรง แต่บารมีล้นฟ้านี้เองก็ทำให้มีคนส่งบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนถึงความลุแก่อำนาจ จ้องจะซ่องสุมผู้คน “คิดการใหญ่” หากผลัดแผ่นดิน รวมถึงมีการร้องเรียนถึงพฤติกรรมความเป็นชายรักชายของหม่อมไกรสรซึ่งเกิดในโรงละครของตน ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อนี้นำไปสู่การถอดยศลงเหลือเพียงเป็น “หม่อมไกรสร” และการประหารชีวิตในที่สุด จึงไม่แปลกเลยที่แมนสรวงจะมีกลิ่นอายของความเป็น “วาย” ในโรงมหรสพเช่นนี้ ยิ่งมีการเปรียบเทียบ “เขม” ว่า “งามดังอิเหนา” ที่อรชรอ้อนแอ้นก็เข้าขนบของตัวละครเอกหนึ่งในนิยายวายด้วย แถมยังสะท้อนถึงความนิยมเรื่องอิเหนาในชนชั้นสูง ชนิดที่ว่าสามารถท่องกันได้ เล่นละครก็ได้รับความนิยม แถมยังมีวรรณคดีล้อเลียนเรื่องอิเหนาอย่าง “พระมะเหลเถไถ” หรือ “ระเด่นลันได” ด้วย

      การมีวงดนตรีและคณะละครของชนชั้นสูงจึงอาจเป็นไปเพื่อประชันทั้ง “ฝีมือ” และ “อำนาจ” กัน เรียกได้ว่าถ้าวงของใครยิ่งมีขนาดใหญ่และรวมนักดนตรีฝีมือฉกาจมากเพียงใด อำนาจของเจ้าของวงยิ่งสูงและแผ่ขยายทั่วแผ่นดินเช่นกัน ทั้งประกอบกับความนิยมเรื่อง “อิเหนา” ที่ได้กล่าวไป บางฉากบางตอนในเรื่องนี้จึงทำให้เราคิดถึงบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 ตอนที่องค์ปะตาระกาหลา บรรพบุรุษแห่งวงศ์เทวัญจะแปลงนางบุษบาเป็นชายหนุ่มนาม “อุณากรรณ” เพื่อลงโทษอิเหนาที่เผาเมืองวอดวายแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

“…เราจะแต่งแปลงองค์ให้เป็นชาย มิให้คนทั้งหลายสงสัย
พรุ่งนี้ก็จะได้เข้าไป สำนักในนครประมอตัน…”

      ถ้านางบุษบาต้องแปลงเป็นชายเพื่อหลบซ่อนตน ผ่านความยากลำบากนานาเพื่อค้นหาอิเหนาจนพบฉันใด การแฝงตัวของเขมและว่านใน “แมนสรวง” ก็เป็นการแฝงตัว เสี่ยงกับการหลุดโป๊ะ เพื่อเปิดเผยทั้งสิ่งที่อยู่ในใจตน และ “ความลับ” ที่สำคัญต่อบ้านเมืองฉันนั้น

      และยิ่งเป็นความลับระดับ “พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน” ยิ่งเป็นอันตราย!

จีน-ไทย ใช่อื่นไกล “พี่น้องกัน”
การค้า ผลประโยชน์ และความหลากหลาย

      “แมนสรวง” เป็นโรงละครที่มี “เจ้าสัวเฉิง” (แน็ต-ชาติชาย) เป็นเจ้าของ ให้ความบันเทิงแก่ผู้มีอันจะกินที่เข้ามาซ่องเสพความสุขเมื่อว่างจากการงาน หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า แมนสรวงเป็นเหมือนคลับเฮาส์ของชนชั้นนำและคนต่างชาติในพระนคร จึงมีโชว์หลากหลายให้ได้ชม ไม่ว่าจะไทย จีน หรือภาษาใด ๆ ซึ่งเจ้าสัวเฉิงตั้งใจว่าจะวางมือจากแมนสรวง ยกให้ “ฮ้ง” (ต๋อง-ธนายุทธ) ลูกชายคนเดียวของตนขึ้นสืบทอดกิจการต่อ โดยให้มือขวาอย่าง “เตียง” (สายฟ้า ตันธนา) ช่วยสอนงานให้เห็นถึงการบริหารแมนสรวงอย่างถึงแก่น

      จะว่าไปแล้วเราอาจจะคุ้นกับคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” ด้วยค้าขายระหว่างกันมาช้านาน แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันหลายชั่วคน ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติจึงผูกพันเหนียวแน่น เช่นการตั้งชุมชนชาวจีนอย่าง “สามเพ็ง” (สำเพ็ง) ที่ต่อมาได้ขยายพื้นที่ไปยังริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างถนนทรงวาด ไปจนถึงบริเวณเยาวราชปัจจุบัน หรือการที่รัชกาลที่ 3 อวยยศเจ้าสัวโต คหบดีเชื้อสายจีนผู้รับราชการในกรมพระคลังเป็น “เจ้าพระยานิกรบดินทร์” ทั้งทรงสร้างวัดให้ ซึ่งวัดนั้นมีนามว่า “วัดกัลยาณมิตร”

      และถึงแม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 การค้าระหว่างสยามกับต่างชาติจะเจริญถึงขีดสุดในยุครัฐจารีต จนต้องสร้างความรู้เรื่องชนชาติไว้อย่าง “โคลงภาพคนต่างภาษา” ในวัดโพธิ์ ทว่าปัญหาที่ตามมาคือการปราบปรามการกระทำผิดของคนต่างชาติในไทยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนจีน”

      กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่อง “จีนตั้วเหี่ย” ซึ่งถูกกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังพลเพื่อสร้างความโกลาหลในบ้านเมือง คุมเหงย่ำยีเด็กและผู้หญิง รวมถึงการค้า “ฝิ่น” สร้างความเดือดร้อนในสังคมอย่างชัดเจน โดยการค้าฝิ่นนี้เป็นอิทธิพลหนึ่งจากจีนเมื่อติดต่อกับชาติตะวันตก จนนำไปสู่ “สงครามฝิ่น” ในประเทศจีนในที่สุด ส่วนในประเทศไทย เมื่อฝิ่นเข้ามา ประชาชนก็ติดกันงอมแงม ไม่เป็นอันทำงานการ จนต้องออกกฎหมายห้ามค้าฝิ่น แต่ก็ยังมิวายลักลอบค้าขายกัน สุดท้ายที่สุดจึงต้องเกิดการปราบปรามตั้วเหี่ยเหล่านี้จนหมดสิ้น

      ครั้งนั้นเอง คนจึงได้รู้ว่าตั้วเหี่ยมีลักษณะเป็นสมาคม มีการสาบานพี่น้อง หากใครในกลุ่มตายไป ลูกชายก็จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมนี้ ซึ่งคอยช่วยเหลือชาวจีนด้วยกันเองที่พลัดถิ่นมา โดยแต่ละก๊กจะมี “ตั้วเหี่ย” (คำเดียวกับ ‘ตั่วเฮีย’ ที่แปลว่าพี่ชายคนโต) เป็นหัวหน้าใหญ่คอยกุมบังเหียนก๊กตน หากเราเปรียบเทียบว่าจีนไทยเป็นพี่น้องกัน แต่ก็อาจเป็นแค่พี่น้องแบบลูกพี่ลูกน้องเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนโพ้นทะเลด้วยกันต่างหากที่เป็นพี่น้องในไส้ อย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด แต่ถ้าคิดคดต่อกันอย่างไรก็ขอให้บรรลัยไปทั้งโคตร การจัดการกับตั้วเหี่ยสิ้นสุดลงเมื่อสามารถจับกุม “ตั่วเฮีย” ที่กุมอำนาจใหญ่ที่สุดได้ การลักลอบค้าฝิ่นจบลง มีการหล่อพระพุทธรูปจากกลักฝิ่นที่ปัจจุบันอยู่ที่ศาลาการเปรียญวัดสุทัศน์

      ทว่าใน “แมนสรวง” ปัญหาสำคัญคือ ฮ้งซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวผู้รับสืบทอดกิจการกลับไม่มีความรู้ในธุรกิจของพ่อตน การซูฮกให้ฝั่งราชการไทยเพื่อสิทธิในการดำเนินกิจการเป็นเรื่องจำเป็น แต่ว่าในสถานการณ์อ่อนไหวเช่นนี้ “แมนสรวง” จะยังเป็นวิมานแฟนตาซีอยู่ต่อไป หรือจะสิ้นชื่อ

“เรือสำปั้น” ที่เข้าออกได้ทุกลำน้ำ
พลังหนุ่มสาว – คนธรรมดา กับความเปลี่ยนแปลงของสังคม

“การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว
จะมีอยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้”

      ข้อความด้านบนเป็นส่วนหนึ่งจากกระแสพระราชดำรัสก่อนเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 3 ซึ่งอาจชี้ให้เห็นภาวะบ้านเมืองในยุคสมัยที่ “แมนสรวง” อาศัยเวลาดำเนินเรื่องอยู่ 

      ซึ่งถ้าถามว่าตอนนั้นซีเรียสแค่ไหน ก็ขอตอบว่าซีเรียสถึงขั้นที่ทำตัวหนา เอียง และขีดเส้นใต้อย่างที่เห็น

      ความกังวลใจต่อ “พวกวิลาศ” หรือชาวตะวันตกของชนชั้นนำในช่วงเวลาอ่อนไหวสั่นสะเทือนความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างชัดเจน เช่น การมีโรงพิมพ์และการรักษาแบบตะวันตกของหมอบรัดเลย์ หรือการนำเทคโนโลยีภาพถ่ายเข้ามาของบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ เป็นต้น ซึ่งทั้งสองเข้ามาในฐานะ “หมอสอนศาสนา” ผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์สู่สังคม ซึ่งแน่นอนว่าความวิตกกังวลไม่ได้จบแค่เรื่องคนไทยจะ “เข้ารีต” เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการแทรกแซงการปกครองด้วย 

      จากเหตุการณ์เหล่านี้ ชนชั้นนำสยามในขณะนั้นมีทั้งข้าราชการผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็หวาดวิตกภัยจากชาติตะวันตก เช่น เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค; ภายหลังเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์) พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค; ภายหลังเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมหาพิไชยญาติ) ซึ่งรายหลังเคยมีเรื่องวิวาทกับทูตสหรัฐอเมริกาว่าด้วยระเบียบพิธีทางราชการไทยในการทูลเกล้าฯ ถวายสาส์นจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วย โดยข้าราชการเหล่านี้มีบทบาทในการปราบปรามจีนตั้วเหี่ยและเมืองประเทศราชอื่น ๆ ที่มีเค้าจะเป็นกบฏตลอดมา ชนชั้นนำกลุ่มนี้มีแนวโน้มว่า คบค้ากับจีน จะยังดีเสียกว่าคบพวกวิลาศ

      แต่ขณะเดียวกัน ก็มีเจ้านายและข้าราชการรุ่นหนุ่มที่สนใจการเข้ามาของชาติตะวันตก ในฐานะโอกาสเปิดหูเปิดตา และ “เปิดตัว” ติดต่อกันอย่างเป็นทางการ เช่น พระวชิรญาณภิกขุ (สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4) เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (ภายหลังเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ผู้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์ตะวันตก หรือพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค; ภายหลังเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) ซึ่งในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 กลุ่มบุคคลเหล่านี้นี่แหละที่มีบทบาทสำคัญให้การ “หันหัวเรือ” สยามออกสู่โลกกว้างมากขึ้น

      นอกเหนือจากนี้ แนวคิดว่า “มนุษย์จะเป็นอะไรก็ได้” ยังไหลทะลักเข้ามาพร้อม ๆ กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมระลอกนี้ด้วย (แม้จริง ๆ แล้วจะมีเค้าลางความเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์) โดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่าเป็น “ชนชั้นกระฎุมพี” ได้แก่ พ่อค้าและข้าราชการรุ่นหนุ่ม แม้จะยังไม่มีงานเขียนหรือมูฟเมนต์ใดในเชิงปลุกระดมสังคม แต่หลักฐานเชิงวรรณกรรมสามารถเล่าถึงแนวคิดของคนรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นนิราศที่มีเพิ่มมากขึ้น (จากเดิมที่นิราศมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องเดินทาง) วรรณคดีกล่าวถึงคนต่างชาติมากขึ้น แทรกเหตุการณ์จริง คนจริงไว้ในเรื่อง ตลอดจนความคิดเรื่องคนที่ซับซ้อนขึ้น จากการฉายภาพคนต่ำศักดิ์ว่าเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ ไปสู่การมองว่ายศศักดิ์ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่าใครเป็น “ผู้ดี” จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากระแสความคิดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้สะเทือนแค่ชนชั้นนำเท่านั้น แต่ยังหมายถึงมีการก่อกำเนิดชนชั้นใหม่ ของคนรุ่นใหม่อีกด้วย

      หากพูดเพียงเท่านี้ นี่คือชัยชนะของคนรุ่นใหม่ที่พลิกเกมจากอำนาจเก่าได้สำเร็จ แต่สิบกว่าปีต่อมา เมื่อเกิดการผลัดแผ่นดินอีกครั้งสู่แผ่นดินที่ 5 คนรุ่นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้กลายเป็นคนในกลุ่ม “สยามเก่า” ที่เชื่อว่าบ้านเมืองไม่ควรหันหาชาติตะวันตกมากไปกว่าเดิม ส่วนคนรุ่นหนุ่มอย่างรัชกาลที่ 5 และลูกหลานของข้าราชการผู้ใหญ่ในขณะนั้นได้รวมกันเป็นกลุ่ม “สยามใหม่” ที่เสนอว่าเราควรรับและเล่นล้อกับวัฒนธรรมชาติตะวันตกมากกว่านี้ ในขณะเดียวกันก็ดำเนินวิธีทางการทูตกับชาติตะวันตกอย่างประนีประนอม

      ใน “แมนสรวง” มีการเปรียบเทียบกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ด้วยเรืออย่างชัดเจน ทั้ง“เรือกลไฟ” ที่หมายถึงชาติเจ้าอาณานิคมตะวันตกซึ่งทรงพลังแข็งแกร่ง เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาทุกที และดูท่าจะน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ หรือ “เรือสำเภา” ที่คุ้นเคยกันมานาน รู้จักกันอย่างดี และพร้อมเกี้ยเซี้ยเพื่อแลกผลประโยชน์ที่คุ้มค่า อันหมายถึงพ่อค้าวานิชที่มาจากจีน หรือแม้กระทั่งสำนวนอย่าง “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ” ที่พยายามปรามคนรุ่นใหม่ว่าอย่าได้เข้าขัดขวางผู้ทรงอำนาจ อะไรจะเกิดขึ้นก็เกิดไป อะไรที่สมควรอยู่แล้วก็อย่าได้คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน เช่นเดียวกับการรำละครที่จะต้องตรงตามขนบ จะมาด้นสดไม่ได้ 

      แต่ไม่จริง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เราอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมมากมายที่รันโดยคนหนุ่มสาวธรรมดา

      ผู้เป็นเหมือน “เรือสำปั้น” ที่เข้าออกได้ทุกลำน้ำ พร้อมซอกแซก รับได้ทุกการเปลี่ยนแปลง และอยู่ได้ในทุกสภาพแวดล้อม แม้น้ำจะเชี่ยวแค่ไหน เรือสำปั้นก็จะอยู่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองเช่นกัน เพียงเราเห็น “ศักดิ์ศรีความเป็นคน” ของตัวเอง

บทสรุป

      เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งเท่านั้นในการปรุง “แมนสรวง” ให้เป็น “มหรสพชั้นเลิศ” ที่ครบรสทั้งการแสดง ท้องเรื่อง องค์ประกอบศิลป์ และแนวคิดสำคัญ  ซึ่งตอบโจทย์วงการสร้างสรรค์ไทย ที่ต้องการมหรสพชั้นเลิศเช่นนี้อีกมากมาย ทั้งที่ฉายทางจอเงิน จอแก้ว หรือแอปฯ สตรีมมิง และความเป็นมหรสพชั้นเลิศนี้ย่อมมีข้อพิสูจน์คือ “การดูสนุก” เข้าถึงทุกคน อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ชมประทับใจสักมุมหนึ่ง

      มาวันนี้ “แมนสรวง” เข้าฉายในทุกโรงภาพยตร์แล้ว เราจึงขอเชิญชวนคุณผู้อ่านก้าวเข้าโรงภาพยนตร์เข้าไปสัมผัสประสบการณ์อันหฤหรรษ์นี้ตัวเอง ไม่แน่ว่าเสน่ห์ของโรงมหรสพแห่งความลับ กิเลส และการชิงไหวชิงพริบแห่งนี้จะดึงดูดคุณชนิดที่ว่าไม่กล้าลุกออกจากเก้าอี้แม้แต่เสี้ยววินาที

      และหากคุณได้ชม “แมนสรวง” แล้วรู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกับเราแล้วล่ะก็ อย่าลืมส่งบทความนี้ให้เพื่อนต่างคู่มือ แล้วบอกต่อพวกเขาอีกทีให้ “จงมาดูเอาเถิด” 

แหล่งอ้างอิง

  • นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2555). ปากไก่และใบเรือ: รวมความเรียงว่าด้วยวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ต้นรัตนโกสินทร์. นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน.
  • Unakan: A Combination of the Images of Thai Hero and Heroine – MANUSYA
  • บทละครเรื่อง พระมะเหลเถไถ
  • บทละครเรื่องระเด่นลันได คำนำ
  • พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓
    พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔
  • บทละคร เรื่อง อิเหนา เล่มที่ ๑๘
  • “ตั้วเหีย”-“อั้งยี่” ในสยามมาจากไหน? จากพระนิพนธ์กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
TAGGED:BeOnCloudManSuangMileApoThe Modernistมายภาคภูมิมายอาโปหนังไทยอาโปณัฐวิญญ์แมนสรวง
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article ‘สิทธิสตรีกับการร่ำสุรา’ เมื่อความเมามายถูกผูกติดกับปิตาธิปไตย
Next Article Prime Video เผยโฉมฮีโร่ฝึกหัด ในซีรีส์ “Gen V” ภาคแยกสุดโหดของ The Boys
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

You and Me and Me
Editor

‘เธอกับฉันกับฉัน’ – มรสุมชีวิต ‘วัยแรกแย้ม’ ยุค Y2K

By ระวี ตะวันธรงค์
EditorINSIGHTPOLITICS

4 เดือน “รัฐบาลอนุทิน” ทางออกของประเทศ หรือระเบิดเวลาลูกใหม่

By Srawut
POLITICS

มาตรา 44 ผลพวงคณะรัฐประหารที่รอการปิดสวิตช์

By ระวี ตะวันธรงค์
INSIGHTPOLITICS

ส.ว.มีไว้ทำไม เปิดที่มาที่ไปของผู้ทรงเกียรติ (หรือเปล่า) ในสภา

By ระวี ตะวันธรงค์
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.