รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำฉบับล่าสุด จากสภาพัฒน์ คนจนพุ่งสูงขึ้น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งหมด
รายงานวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ฉบับล่าสุดปี 2567 จาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ (เผยแพร่ 15 ก.ย. 2568) ได้ส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญ หลังจากที่ไทยประสบความสำเร็จในการลดความยากจนมาอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2567 จำนวนคนจนกลับพุ่งสูงขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้สะท้อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซ่อนอยู่ และเป็นโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ
1. ใครคือคนจน 3.4 ล้านคน ?
ความยากจนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้กระจายตัวเท่ากัน แต่กระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่มและบางพื้นที่อย่างชัดเจน:
1.1. เกษตรกรคือกลุ่มเปราะบางที่สุด: คนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่คือแรงงานในภาคเกษตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45.49% ของคนจนทั้งประเทศ พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจภาคเกษตรที่หดตัว, ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาผลผลิต
ความผันผวนของสภาพอากาศ และข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยี สิ่งนี้สะท้อนภาพ “คนจนที่ทำงาน” (Working Poor) ที่แม้จะทำงานหนัก แต่ก็ไม่สามารถมีรายได้เพียงพอที่จะอยู่เหนือเส้นความยากจนที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือนได้
1.2. ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์: ความยากจนกระจุกตัวอยู่ในบางภูมิภาค โดยภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูงสุด (9.43%) ตามด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (6.56%) และภาคเหนือ (5.75%) แต่หากนับเป็นจำนวน ภาคอีสานมีคนจนมากที่สุดถึง 1.19 ล้านคน
ปัญหานี้เกิดจากความไม่สมดุลของการพัฒนาที่ความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และภาคกลางเป็นหลัก
1.3. กับดักในครัวเรือน: ครัวเรือนยากจนมีภาระหนักอึ้ง โดยมี อัตราการพึ่งพิงสูงถึง 103.69% หมายความว่า สมาชิกวัยทำงาน 1 คน ต้องดูแลเด็กและผู้สูงอายุเฉลี่ย 1.04 คน (เทียบกับครัวเรือนไม่จนที่ 60.06%) ภาระนี้ทำให้โอกาสในการหารายได้ลดลง
นอกจากนี้ ขนาดครัวเรือนที่ใหญ่ขึ้นและการศึกษาที่ต่ำยังเป็นปัจจัยสำคัญ โดยคนจนส่วนใหญ่ (73.50%) มีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า

2. ความเหลื่อมล้ำทางด้านการเงิน โอกาส และคุรภาพชีวิต
ปัญหาไม่ได้มีแค่ความจน แต่คือความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกในทุกมิติของชีวิต
2.1. การใช้จ่าย: กลุ่มคนที่รวยที่สุด 10% มีรายจ่ายสูงกว่ากลุ่มที่จนที่สุด 10% ถึง 7.83 เท่า แต่ที่สำคัญกว่าคือ “สิ่งที่เงินถูกใช้ไป” คนจนใช้จ่ายกว่าครึ่งหนึ่งไปกับอาหารเพื่อความอยู่รอด ขณะที่คนรวยใช้จ่ายเพื่อลงทุนในอนาคตและคุณภาพชีวิต เช่น การศึกษาขั้นสูง, บริการสุขภาพเอกชน และการเดินทางที่สะดวกสบาย
2.2. โอกาสทางการศึกษา: ความเหลื่อมล้ำทางการเงินส่งผลโดยตรงต่อโอกาสทางการศึกษาครัวเรือนที่รวยที่สุด ใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงกว่าครัวเรือนที่จนที่สุดถึง 8.16 เท่า และมีโอกาสส่งลูกเรียนระดับอุดมศึกษาสูงกว่าถึง 11.08 เท่า
2.3. คุณภาพบริการสุขภาพ: แม้ไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมเกือบ 100% แต่คุณภาพบริการกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
กรุงเทพฯ มีแพทย์ 1 คนต่อประชากร 428 คน ขณะที่ภาคอีสานมีแพทย์ 1 คนต่อประชากรถึง 2,497 คน การกระจุกตัวของบุคลากรและเครื่องมือแพทย์ในเมืองใหญ่ ทำให้คุณภาพชีวิตและโอกาสรอดชีวิตของคนในพื้นที่ห่างไกลต่ำกว่าอย่างน่าใจหาย
3. นโยบายรัฐ: เน้นเยียวยา ขาดการแก้ปัญหาระยะยาว
การตอบสนองของภาครัฐยังคงเน้นไปที่มาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้าเป็นหลัก โดยงบประมาณกว่า 78.45% ถูกใช้ไปกับโครงการโอนเงินโดยตรง เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเบี้ยยังชีพต่างๆ
ในขณะที่งบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว เช่น การลงทุนในทุนมนุษย์ หรือการยกระดับภาคเกษตร มีสัดส่วนเพียง 21.28%
แนวทางนี้แม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ชั่วคราว แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะสร้าง “กับดักสวัสดิการ” และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้อย่างยั่งยืน

บทสรุปและทางออก
สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปสู่การลงทุนเชิงโครงสร้างในระยะยาว รายงานได้เสนอแนวทางสำคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. ประเมินผลโครงการรัฐอย่างจริงจัง เพื่อให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพ
2. พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางของประชาชน เพื่อให้ความช่วยเหลือตรงจุด
3. ลงทุนในภาคเกษตรอย่างยั่งยืน เน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม และการตลาด
4. ลงทุนที่ “คน” อย่างแท้จริง ผ่านการปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาทักษะอาชีพ
5. กระจายทรัพยากรสาธารณสุขให้มีคุณภาพและเท่าเทียม ทั่วประเทศ
6. ลดอุปสรรคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม สำหรับคนจน
การตัดสินใจของสังคมไทยในวันนี้ที่จะเลือกลงทุนในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง คือตัวกำหนดอนาคตของประเทศที่เราทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

