เจาะลึกเหตุการณ์ถนนทรุดหน้าวชิรพยาบาล หายนะที่ไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย และใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งนี้
เช้าวันที่ 24 กันยายน 2568 ได้กลายเป็นฝันร้ายของคนกรุงเทพฯ เมื่อถนนสามเสน บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เกิดยุบตัวกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์ ลึกเทียบเท่าตึก 10 กว่าชั้น สร้างความโกลาหลและคำถามว่า “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?” และ “ใครต้องรับผิดชอบ ?”
1. สาเหตุที่แท้จริง: ไม่ใช่แค่ “ท่อประปาแตก”
ตอนแรกหลายคนอาจคิดว่าสาเหตุมาจากท่อประปาแตก แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างชี้ตรงกันว่า ท่อประปาที่แตกเป็น “ผลลัพธ์” ไม่ใช่ “ต้นเหตุ” 3 เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากปฏิกิริยาลูกโซ่ใต้ดิน ดังนี้
(1) จุดเริ่มต้นคือ “รอยรั่ว”
ต้นตอของปัญหาเกิดจากรอยรั่วหรือรอยแยกบริเวณ “รอยต่อ” ระหว่างอุโมงค์รถไฟฟ้าสายสีม่วงที่กำลังก่อสร้างกับตัวสถานีวชิรพยาบาล
(2) ดินไหลทะลัก
เมื่อเกิดรอยรั่ว มวลดินและน้ำใต้ดินที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มไหลทะลักเข้าไปในพื้นที่ว่างของสถานี เหมือนทรายที่ไหลออกจากนาฬิกาทราย
(3) เกิด “ถ้ำ” ใต้ถนน
การไหลของดินทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใต้ผิวถนนที่เรามองไม่เห็น
(4) ฟางเส้นสุดท้าย
เมื่อดินที่รองรับท่อประปาหลักหายไป ท่อประปาขนาดใหญ่จึงรับแรงกดไม่ไหวและแตกหักในที่สุด
(5) หายนะ x10
น้ำปริมาณมหาศาลจากท่อที่แตกได้ทะลักออกมาผสมกับดินเหนียวอ่อนของกรุงเทพฯ กลายเป็นโคลนเหลวที่เร่งการกัดเซาะและทำให้ทุกอย่างพังทลายลงมาอย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆ คือ โครงสร้างอุโมงค์มีปัญหาก่อน จนทำให้ดินทรุด แล้วดินที่ทรุดก็ไปซ้ำเติมทำให้ท่อประปาแตกนั่นเอง

2. ใครรับผิดชอบ? สรุปตามบทบาท
เรื่องความรับผิดชอบ ไม่ได้มีแค่หน่วยงานเดียว แต่แบ่งเป็นลำดับชั้นตามหน้าที่ ดังนี้
(1) รฟม. (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย)
ในฐานะ “เจ้าของโปรเจกต์” รฟม. ได้ออกมาประกาศยอมรับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น มีหน้าที่หลักในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกคนและกำกับดูแลการแก้ไขปัญหา
(2) กิจการร่วมค้า CKST-PL (ช.การช่าง และ ซิโน-ไทย)
ในฐานะ “ผู้รับเหมาก่อสร้าง” ที่ลงมือขุดเจาะและก่อสร้างจริง ความรับผิดชอบในเชิงปฏิบัติการและความผิดพลาดทางวิศวกรรมจะตกอยู่ที่บริษัทโดยตรง ซึ่งจะต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา หากผลสอบสวนชี้ว่าเกิดจากความประมาท
(3) กทม. (กรุงเทพมหานคร)
ในฐานะ “หน่วยงานท้องถิ่น” มีบทบาทสำคัญในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า เช่น การปิดการจราจร, การอพยพผู้คน, การประกาศเขตภัยพิบัติ และดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยรวม
(4) รัฐบาล (กระทรวงคมนาคม และ ป.ป.ท.)
ในฐานะ “ผู้กำกับดูแล” ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียด นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ท. ยังได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการด้วย

3. แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
(1) แผนระยะสั้น (14 วัน)
ทีมวิศวกรกำลังเร่งเทคอนกรีตหลายพันตันเพื่ออุดรอยรั่วและทำให้ดินหยุดสไลด์ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะคืนผิวจราจรให้รถสามารถกลับมาสัญจรได้ภายใน 2 สัปดาห์
(2) แผนระยะยาว (เป็นปี)
การซ่อมแซมโครงสร้างอุโมงค์และสถานีที่เสียหายอย่างถาวรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาประเมินและซ่อมแซมอย่างละเอียด ซึ่งนายกรัฐมนตรีคาดว่าอาจใช้เวลานานอย่างน้อย 1 ปี
(3) บทเรียนราคาแพง
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการต่างออกมาเรียกร้องให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญ โดยเสนอให้มีการตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนที่เป็นกลาง” ที่ไม่ไช่หน่วยงานคู่ขัดแย้งโดยตรง และที่สำคัญคือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย โดยบังคับให้โครงการก่อสร้างใต้ดินขนาดใหญ่ในอนาคตต้องมี “ระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” แบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ว่า การพัฒนาเมืองที่รวดเร็วต้องมาพร้อมกับมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดและการตรวจสอบที่โปร่งใส เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

