วิเคราะห์เจาะลึก MOU 43 และ MOU 44 ปมพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่เดิมพันด้วยอธิปไตยชาติและขุมทรัพย์พลังงานมูลค่าล้านล้านบาท สรุปครบทุกมิติ ใครได้ ใครเสีย และควรทำประชามติ ผลักภาระการตัดสินใจให้ประชาชนหรือไม่
บันทึกความเข้าใจ (MOU) สองฉบับที่ไทยลงนามกับกัมพูชาเมื่อกว่าสองทศวรรษที่แล้ว ได้แก่ MOU 43 ว่าด้วยเขตแดนทางบก และ MOU 44 ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
โดยนำอธิปไตยของชาติและบาดแผลทางประวัติศาสตร์มาเผชิญหน้ากับความจำเป็นเร่งด่วนทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงาน บทวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นถึงสภาวะที่ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ และกำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่สำคัญบนทางสองแพร่ง ซึ่งไม่มีคำตอบที่ง่ายหรือปราศจากความเสี่ยง
1. หัวใจของข้อพิพาท: การถอดรหัส MOU ทั้งสองฉบับ
– MOU 43 (เขตแดนทางบก, พ.ศ. 2543)
มีเป้าหมายเพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน แต่ปัญหาหลักอยู่ที่การยอมรับ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสเป็นกรอบในการเจรจา
ซึ่งฝ่ายไทยมองว่าเป็นแผนที่ที่ไม่ถูกต้องและเป็นมรดกที่เจ็บปวดจากคดีปราสาทพระวิหาร การยอมรับกรอบนี้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาก็มีการละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่พิพาท

– MOU 44 (พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล, พ.ศ. 2544)
มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร โดยกำหนดแนวทางแบบ “แพ็กเกจที่แบ่งแยกไม่ได้” คือ การแบ่งเขตแดนทางทะเลบริเวณตอนเหนือ (ใกล้เกาะกูด) ต้องดำเนินไปพร้อมกับการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ตอนใต้
ปัญหาสำคัญคือ กรอบการเจรจานี้ได้รวมเอา “เส้นเขตไหล่ทวีป” ที่กัมพูชาประกาศฝ่ายเดียวเมื่อปี พ.ศ. 2515 ซึ่งลากผ่านสิทธิทางทะเลของไทยบริเวณเกาะกูดเข้ามาด้วย ทำให้เกิดความเสี่ยงทางกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายปิดปาก” (Estoppel) ซึ่งการเจรจาที่ยืดเยื้ออาจถูกตีความว่าไทยยอมรับความชอบธรรมของข้ออ้างดังกล่าวโดยปริยาย

2. ดุลอำนาจที่ไม่สมดุล: ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ?
แม้ไทยจะมีศักยภาพทางทหารและเศรษฐกิจที่เหนือกว่า แต่ MOU ทั้งสองฉบับได้สร้างสภาวะที่กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์และทางการทูต
– ไทย (ฝ่ายเสียเปรียบ)
ตกอยู่ในกับดักทางกฎหมายจากความเสี่ยงเรื่อง “กฎหมายปิดปาก” (Estoppel) และถูกจำกัดไม่ให้ใช้ความได้เปรียบทางการทหารเพื่อตอบโต้การละเมิดอธิปไตยตามแนวชายแดนได้อย่างเต็มที่ การดำเนินการถูกจำกัดอยู่แค่การประท้วงทางการทูตที่ไม่มีประสิทธิภาพ
– กัมพูชา (ฝ่ายได้เปรียบ)
สามารถใช้ MOU เป็นเครื่องมือยกระดับข้ออ้างฝ่ายเดียวของตน ให้มีความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ และเปลี่ยนสมรภูมิจากด้านการทหารมาสู่เวทีเจรจาทางกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่กัมพูชาถนัด และเชื่อว่าตนมีความได้เปรียบจากบรรทัดฐานในอดีต
3. เดิมพันทางเศรษฐกิจมหาศาล: พลังงาน ปะทะอธิปไตย
เบื้องหลังข้อพิพาททางกฎหมายคือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล พื้นที่ OCA ได้รับการประเมินว่ามีแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมูลค่าหลายล้านล้านบาท
การนำทรัพยากรเหล่านี้ขึ้นมาใช้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงานของไทย สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LNG ราคาแพง และที่สำคัญคือจะช่วยลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจนี้ได้สร้างรอยแยกลึกภายในประเทศ ระหว่างกลุ่ม “เหยี่ยวความมั่นคง” ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับอธิปไตยและยอมไม่ได้ที่จะเสียเปรียบแม้แต่น้อย
กับกลุ่ม “นักปฏิบัตินิยมทางเศรษฐกิจ” ที่มองว่าการหยุดชะงักของการเจรจาคือการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลในทุกๆ วัน สภาวะ “อัมพาตทางนโยบาย” ที่ดำเนินมานานกว่า 20 ปี จึงเป็นผลพวงโดยตรงจากแรงดึงดูดของสองขั้วอำนาจนี้

4. ทางสองแพร่ง: ยกเลิก หรือ เดินหน้าต่อ?
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างสองยุทธศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูง
– การ “คง” MOU ไว้ (ยุทธศาสตร์จำกัดความเสี่ยง)
เป็นการยอมรับสถานะที่เสียเปรียบในปัจจุบันเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่า ข้อดีคือ MOU เป็นเกราะป้องกันไม่ให้กัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก เป็นการรักษาช่องทางการทูต และเป็นหนทางเดียวในปัจจุบันที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานใน OCA
– การ “ยกเลิก” MOU (ยุทธศาสตร์ยอมรับความเสี่ยง)
เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดเพื่อ “ล้างกระดาน” และเริ่มต้นการเจรจาใหม่จากจุดยืนที่เป็นธรรมกว่าเดิม โดยอ้างเหตุผลว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีเลวร้ายลง และอาจนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศที่คาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก
5. ประชามติ: ทางออกที่เป็นประชาธิปไตย หรือ การผลักภาระของรัฐ?
ข้อเสนอให้จัดการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ แม้จะดูเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แต่กลับเป็นแนวทางที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับปัญหานี้
เนื่องจากประเด็น MOU มีความซับซ้อนอย่างยิ่งยวดในมิติของกฎหมายระหว่างประเทศ การทหาร และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ข้อมูลจากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” (เผยแพร่ 5 ต.ค. 68) ยืนยันถึงปัญหานี้อย่างชัดเจน โดยพบว่าแม้ประชาชนกว่าร้อยละ 60 จะเห็นด้วยกับการทำประชามติ แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนเกือบร้อยละ 70 กลับยอมรับว่าตนเอง “ไม่เข้าใจ” และ “ไม่ค่อยจะเข้าใจ” เนื้อหาของ MOU ทั้งสองฉบับ
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการทำประชามติมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกชี้นำด้วยอารมณ์ความรู้สึกและวาทกรรมทางการเมือง มากกว่าการพิจารณาผลประโยชน์ของชาติอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ยังอาจถูกมองว่าเป็นการที่รัฐบาล “ผลักภาระ” ความรับผิดชอบในการตัดสินใจที่ยากลำบากไปให้ประชาชน

6. บทสรุป
สถานการณ์ MOU 43 และ 44 ได้นำประเทศไทยมาสู่จุดที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินที่ยากลำบาก ไม่มีทางเลือกใดที่ปราศจากความเสี่ยง
การเดินหน้าต่อภายใต้กรอบเดิมคือการยอมรับการเสียเปรียบที่ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ ในขณะที่การยกเลิกคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าหรือเลวร้ายกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง
การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้จึงเรียกร้องภาวะผู้นำที่เด็ดเดี่ยวและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจากฝ่ายบริหาร ซึ่งต้องสามารถสังเคราะห์ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญทุกแขนง เพื่อกำหนดทิศทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติในระยะยาว

