ไทย–สหรัฐฯ ลงนามบันทึกความเข้าใจ “ความร่วมมือแร่หายาก” จุดเปลี่ยนสำคัญของยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมโลก เปิดทางไทยสู่ห่วงโซ่อุปทานใหม่ ลดการพึ่งพาจีน
มาเลเซีย, 27 ตุลาคม 2568 รัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกาได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย ความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานด้านแร่หายากและส่งเสริมการลงทุน ซึ่งถือเป็นหมุดหมายใหม่ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ไทยเข้ามามีบทบาทใน “ห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลก” และเพิ่มโอกาสในการลงทุน การค้า และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ โดยเนื้อหาหลักประกอบด้วย 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การแบ่งปันองค์ความรู้และสิทธิการลงทุน
ทั้งสองฝ่ายจะร่วมแบ่งปันข้อมูล เทคนิค และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการจัดการและแปรรูปแร่หายาก
สหรัฐฯ จะได้รับ “สิทธิการลงทุนก่อน” ในโครงการแร่หายากที่มีจำหน่ายในไทยหรือดำเนินการโดยบริษัทที่ตั้งอยู่ในไทย ภายใต้กรอบกฎหมายของทั้งสองประเทศ
โดยเน้นให้เกิดการพัฒนา “ห่วงโซ่คุณค่าในประเทศ” (Domestic Value Chain Development) อย่างแท้จริง
⸻
2. กลไกความร่วมมือระหว่างกัน
ทั้งสองฝ่ายจะตั้งกลไกการทำงานร่วมกัน เช่น การประชุม เวิร์กชอป สัมมนา การสำรวจและวิจัยร่วม ตลอดจนการแบ่งปันข้อมูลเชิงเทคนิค เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
⸻
3. การอำนวยความสะดวกทางการลงทุน
จะร่วมกันปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอนอนุญาตที่ซับซ้อน และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านแร่หายากในไทย โดยคำนึงถึง “ความมั่นคงของประเทศ” เป็นสำคัญ
⸻
4. การแบ่งปันข้อมูลการประมูลและโครงการใหม่
ทั้งไทยและสหรัฐฯ จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการประมูลหรือโครงการต่าง ๆ อย่างทันท่วงที เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลาพอในการเข้าร่วมอย่างเท่าเทียม
⸻
5. การคุ้มครองตลาดและกำหนดราคาที่เป็นธรรม
จะร่วมกันรักษากลไกตลาดให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และมีเสถียรภาพ โดยอาจใช้มาตรฐานระดับสูง เช่น การกำหนด “ราคาขั้นต่ำ” เพื่อป้องกันการบิดเบือนราคาหรือการผูกขาด
ความหมายเชิงยุทธศาสตร์ของ MOU ฉบับนี้
บันทึกความเข้าใจนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในการ “ลดการพึ่งพาจีน” ในตลาดแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชิป อุปกรณ์พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และอาวุธยุทโธปกรณ์
การจับมือกับไทยในครั้งนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Friend-shoring” หรือการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศพันธมิตรที่มั่นคงทางการเมืองและมีศักยภาพด้านทรัพยากร
วิเคราะห์ “ผลประโยชน์ – ความเสี่ยง” ไทย vs สหรัฐฯ
ด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยมีโอกาส ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีสำรวจ แปรรูป และรีไซเคิลแร่หายากจากสหรัฐฯ ซึ่งมีความก้าวหน้าสูง
แต่ความเสี่ยงคือ หากไม่มีการต่อยอดในประเทศ อาจกลายเป็นเพียงฐานผลิตเบื้องต้น (processing base) โดยไม่เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว
โอกาสด้านเศรษฐกิจ / การลงทุนประเทศไทยจะได้รับโอกาสที่จะเปิดประตูรับการลงทุนโดยตรงจากบริษัทอเมริกัน สร้างงานและรายได้ในอุตสาหกรรมใหม่
แต่ความเสี่ยงคือ การให้สิทธิ “สหรัฐฯ เข้าซื้อก่อน” อาจจำกัดโอกาสการค้าเสรีกับประเทศอื่น โดยเฉพาะจีน
ส่วนโอกาสของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไทยจะสร้างโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมเหมืองและแปรรูปในประเทศ แต่ทั้งนี้ ไทยต้องเร่งพัฒนามาตรฐานสิ่งแวดล้อมและกฎหมายเหมืองให้ทันสมัย เพื่อรองรับนักลงทุน
ในแง่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง ไทยจะกลายเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรกับสหรัฐฯ เพื่อเสริมบทบาทในภูมิภาค
แต่ในทางกลับกันไทยอาจต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์กับจีน ที่อาจถูกจับตาใกล้ชิดขึ้น และอาจเกิดแรงกดดันในเชิงภูมิรัฐศาสตร์
ในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม หากมีระบบควบคุมที่ดี ประเทศไทยจะได้มาตรฐานเหมืองสะอาดและมีการรีไซเคิลเพิ่มขึ้น
บันทึกความเข้าใจไทย–สหรัฐฯ ฉบับนี้เป็น “โอกาสเชิงยุทธศาสตร์” สำหรับไทยในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกของแร่หายาก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น “ความท้าทายเชิงสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่ไทยต้องบริหารให้ดีระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไทยต้องไม่เป็นเพียง “ผู้ขายทรัพยากร” แต่ต้องเป็น “ผู้สร้างมูลค่า” โดยส่งเสริมให้บริษัทไทยเข้าร่วมลงทุน วิจัย และผลิตเทคโนโลยีแปรรูปแร่หายากด้วยตนเอง เพื่อให้ข้อตกลงนี้สร้าง “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจระยะยาว” อย่างแท้จริง

