The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / BUSINESS / ‘หลวยสูสำนักพิมพ์’ จากโปรเจ็กต์จบมหา’ลัย สู่การเปิดสำนักพิมพ์เต็มตัว
BRANDINGBUSINESS

‘หลวยสูสำนักพิมพ์’ จากโปรเจ็กต์จบมหา’ลัย สู่การเปิดสำนักพิมพ์เต็มตัว

ระวี ตะวันธรงค์
Last updated: 3 ส.ค. 2023 14:25
ระวี ตะวันธรงค์
Share
SHARE

“มาเปิดสำนักพิมพ์กันเถอะ” เป็นประโยคที่หลายคนได้ยิน อาจจะรู้สึกว่า จะดีหรอ เอาจริงดิ! ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้นี่นะ! โดยเฉพาะในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ได้เคลื่อนผ่านยุครุ่งเรืองไปเนิ่นนานแล้ว

แต่เยาวรุ่นกลุ่มหนึ่งจาก ภาควิชาวรรณคดีไทย  คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกันลงขันสถาปนา ‘หลวยสูสำนักพิมพ์’ ขึ้นมา โดยไม่เคยมีประสบการณ์ในสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ มาก่อน แต่ใช้ประสบการณ์จากการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ประสบการณ์จากการอ่าน การเสพสื่อบันเทิง การเขียนรีวิวหนังสือ กอปรกับการขายของออนไลน์ มากลั่นเป็นขุมพลังในการพาสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เข้ามาหยั่งรากในตลาดหนังสือไทย

The Modernist จะพาผู้อ่านมาสัมผัสกับบทสนทนาที่ร้อยเรียงมาจาก ‘บาส’ ภัทรจักร ปานสมัย และ ‘ออม’ พิชามญชุ์ คงวิจิตต์ เจ้าสำนัก ‘หลวยสูสำนักพิมพ์’ ที่มาพร้อมกับแนวคิด ‘สวยงามทุกตัวอักษร’ ทั้งประเด็นการทำธุรกิจจากมุมของคน GEN Z วงการหนังสือที่ดูราวกับเขาวงกตเมื่อมองจากสายตาคนนอก การทลายชุดความคิดเก่าก่อน ที่พร่ำบอกว่าต้องมีประสบการณ์จากองค์กรใหญ่ ๆ การส่งเสียงถามกลับไปยังค่านิยมเรื่อง ‘การประสบความสำเร็จ’ จากคนรุ่นก่อนที่หวังจะเติมแรงใจแต่สุดท้ายกลับเป็นแรงกดดัน รวมไปถึงความลุ่มหลงในวัยเด็กที่ต่อมาจะกลายเป็นเม็ดเงินและสร้างอาชีพให้กับเจ้าสำนักทั้ง 2 คน

เรื่องเล่าที่สร้างตัวตน จนสร้างงานสร้างอาชีพ

ด้วยแววตาลุกวาว ดวงหน้าสุกสกาวเมื่อถูกถามถึงสารตั้งต้นที่ทำให้ตกหลุมรักวรรณกรรม บาส เท้าความไปถึงตั้งแต่เริ่มจำความได้ว่า ห้วงเวลาที่ใช้ชีวิตที่บ้านเกิด แม่จะเริ่มสอนให้อ่านหนังสือตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาล กลายเป็นนิสัยติดตัวที่เห็นข้อความบนหน้ากระดาษทีไร จะต้องพุ่งเข้าไปหาทุกครั้ง จนมีหนังสือเป็นเพื่อนคู่ใจ ขนาบข้างไปกับละครหลังข่าวที่ฉายในโทรทัศน์ ทำให้บาสค่อย ๆ ซึมซับความงามของเรื่องเล่า และพาเขาวนกลับไปอ่านหนังสือเรื่องย่อละครที่วางขายในร้านสะดวกซื้อและแผงหนังสือ ซึ่งได้รับความนิยมในขณะนั้น บ้างก็แฉลบไปอ่านหนังสือการ์ตูนของบรรลือสาส์น อย่าง  ‘สาวดอกไม้กันนายกล้วยไข่’ ซึ่งก็เป็นการ์ตูนที่ล้อละครอีกที 

พอโตขึ้นขอบเขตการอ่านก็ขยายพรมแดนออกไปสู่นวนิยายโรแมนซ์กระแสหลัก โดยมี ว.วินิจฉัยกุล และปิยะพร ศักดิ์เกษม เป็นนักเขียนคนโปรด จนกระทั่งในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมาบาสสังเกตว่ามีวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่มีเหตุให้ต้องวนมาอ่านทุก ๆ ปี คือ ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ของ วีรพร นิติประภา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง อ่านเพราะว่าต้องใช้เรียน อ่านเพื่อต้องนำมาใช้ทำงาน ทำให้บาสจับสังเกตได้ว่าตัวเองหลงใหลเรื่องเล่าแนวเมโลดราม่า ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนที่เดินตามขนบ หรือใช้เทคนิคเล่าที่แหวกแนว 

“การอ่านสร้างอิทธิพลต่อตัวบาสอยู่ 2 ขยัก ขยักแรกเหมือนการได้เจอเพื่อน เพราะบางตัวละครมีแรงขับอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นความทะเยอทะยาน ความฝัน ความปรารถนาในบางอย่างที่อาจจะดูไกล แต่ก็ไม่ละความพยายามที่จะไต่ขึ้นไปให้ได้

ส่วนขยักที่สอง เป็นขยักที่ทำให้เราได้เรียนรู้ สารบางอย่าง อุทาหรณ์บางประการ ประสบการณ์ที่เราไม่เคยพบพาน ไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้น”

บาสเล่าต่อว่าการสอดส่องสายตาไล่ไปตามตัวอักษร เพื่อพินิจแรงขับของตัวละครที่ถูกนักเขียนลากไป ยังทำให้เข้าใจความหลากหลายของมนุษย์มากขึ้น ตัวละครต่าง ๆ ไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิตบนหน้ากระดาษ แต่ในหน้ากระดาษเหล่านี้ได้ผลักให้เหล่าตัวละครออกมามีชีวิต

ด้านออม หนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ บอกว่า ตนก็เป็นคนหนึ่งที่เติบโตมากับหนังสือ โดยเฉพาะนวนิยายรักของสำนักพิมพ์แจ่มใสที่กำลังครองตลาดอยู่ในขณะนั้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับมาเป็นแนวสารคดี ประวัติศาสตร์ การเมือง รวมถึงหนังสือแนวจิตวิทยา ซึ่งก็ทำให้เลนส์การมองเพื่อนมนุษย์ลึกซึ้งมากขึ้น และเธอก็ผลักตัวเองให้ก้าวข้ามความสมบูรณ์แบบ โอบกอดความกระพร่องกระแพร่งของมนุษย์ได้มากขึ้น

“ตอนนี้ออมสนใจศาสตร์ด้านการแสดง พอเข้าไปอบรม รู้สึกเลยว่าการที่อ่านหนังสือมาเยอะ ๆ ช่วยให้วิเคราะห์ตัวละครได้ดีมาก ๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันมีผลทำให้เราเข้าใจเฉดของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้มีแต่สีขาวหรือสีดำ มองมนุษย์แบบไม่ต้องไปตัดสิน และยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบได้มากขึ้น 

ก่อนหน้านี้ออมเป็น เพอร์เฟคชั่นนิส (Perfectionist) รู้สึกว่าก้าวข้ามไม่ได้ รู้สึกว่าต้องตัดสินอะไรบางอย่างกับตัวเองตลอดเวลา แต่พอกลับมาอ่านหนังสือมากขึ้น ก็ช่วยปลดล็อกความคิดเรา”

ความลุ่มหลงของบาสและออมที่ขยายอาณาเขตกว้างไปไกลกว่างานวรรณกรรม แต่รวมไปถึงเรื่องเล่าทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าที่ฝั่งอยู่ในสื่อละคร ภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน นวนิยาย เรื่องสั้น หนังสือจิตวิทยา ล้วนประกอบร่างสร้างตัวตนให้กับทั้งคู่ ที่กลายมาเป็นอาชีพและสร้างอัตลักษณ์ของสำนักพิมพ์ในกาลต่อมา

จากโปรเจ็กต์จบ สู่การทำสำนักพิมพ์เต็มตัว

“ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ” บาสกล่าวขึ้นขณะเล่าให้ฟังถึงที่มาของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการทำโปรเจ็กต์จบ ในรายวิชาวัฒนธรรมหนังสือและบรรณาธิการกิจศึกษา ที่อาจารย์ได้เปิดกว้างให้นิสิตเลือกที่จะทำหนังสือแนวไหนก็ได้ บาสจึงชักชวนเพื่อนในกลุ่มรวม 6 คน มาร่วมกันปั้นโมเดลสำนักพิมพ์จำลอง ที่ตั้งใจว่าจะขายนวนิยายรักกันแบบจริง ๆ จากนั้นจึงเทียบเชิญนักเขียนมาร่วมโปรเจ็กต์ โดยตกลงเงื่อนไขกันเรียบร้อยในส่วนของค่าเรื่องที่จะจ่ายภายใน 1 เดือนหลังจะผลงานออกเผยแพร่ 

ส่วนการทำงาน ใช้วิธีแบบสำนักพิมพ์จริง ๆ เช่น คนหนึ่งเป็นฝ่ายขาย คนหนึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ รวมไปถึงงานบรรณาธิการ พิสูจน์อักษร และการออกแบบปกก็ทำกันเอง ไม่ได้จ้างคนนอก เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วง ทุกคนจึงตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อเปิดสำนักพิมพ์กันอย่างจริงจัง โดยจะเน้นงานเขียนแนวนวนิยายรักเป็นหลัก

“ไหน ๆ ก็มีวิชานี้มารองรับแล้ว เราก็ลองติดต่อนักเขียนที่เราสามารถติดต่อได้ พอเราเริ่มทำแล้วรู้สึกว่าเจอทางไปต่อ แม้ว่ามันจะเป็นทางไปต่อที่ไม่ได้สว่างมากขนาดนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้จากการทำโปรเจ็กต์จบก็คือ เรามีความสุข มันคือ passion มาก ๆ จึงมองว่าเราน่าจะหารายได้จากการทำธุรกิจนี้ต่อไป” บาสกล่าว

ออกสตาร์ทธุรกิจด้วยความฟิน

หลังจากเรียนจบ 2 ปีแรกของ ‘หลวยสูสำนักพิมพ์’ อยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัวอย่างจริงจัง ระดมสมองกันว่าจะให้สำนักพิมพ์มีภาพลักษณ์ไปในทิศทางไหน เพื่อไม่ให้สำนักพิมพ์ซ้ำทางกับนิยายรักที่มีอยู่ในตลาด 

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผันผ่านต่างคนต่างเลือกเดินไปตามความฝันตามวิถีของตน จนในทีมเหลืออยู่ 2 คน คือบาสกับออม ที่ตัดสินใจเดินหน้าต่อกับสำนักพิมพ์ และแบ่งหน้าที่กันตามความถนัดของแต่ละคน ซึ่งออมเป็นคนละเอียด ก็จะรับผิดชอบในส่วนของงาน บัญชี ภาษี และระบบหลังบ้านต่าง ๆ ส่วนบาสจะเน้นไปในสายที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประสานงาน และภาพรวมของสำนักพิมพ์

สิ่งที่น่าสนใจในห้วงเวลาที่หลวยสูสำนักพิมพ์เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่นั้น ต้องใช้ทุนทรัพย์มาหล่อเลี้ยงเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้บาสและออมบอกว่าเป็น 2 ปีแรกที่ชีวิตท้าทายพอสมควร ทั้งคู่ต้องทำงานอื่นเสริมไปด้วยระหว่างทาง เพื่อไว้ใช้หล่อเลี้ยงความฝันในการทำสำนักพิมพ์ 

ออม ต้องรับงานหลากหลาย ทั้งเป็นติวเตอร์สอนวิชาสังคมและภาษาไทย เช่นเดียวกับบาสที่รับงานฟรีแลนซ์ควบคู่ไปด้วย เคยไปเป็นครูอยู่ช่วงหนึ่ง ผ่านประสบการณ์งานออฟฟิศ บ้างครั้งบาสยอมรับว่าเคยมีช่วงหนึ่งที่ทำสำนักพิมพ์แล้วท้อจนอยากล้มเลิกเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่า จริง ๆ แล้วตนไม่ได้อยากล้มเลิกความฝันที่จะปั้นสำนักพิมพ์ แต่แค่เหนื่อย สิ่งที่ทำต่อมาคือเยียวยาตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เต็มที่แล้วกลับมาลุยงานใหม่ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการลองผิดลองถูกและล้มลุกคลุกคลานอย่างแท้จริง 

จากนั้นไม่นานทั้งคู่พบว่า ตลาดหนังสือที่ได้รับความนิยมในช่วงหลัง ๆ จะเป็นงานนวนิยายแปลที่มีพล็อตเรื่องและฉากหลังเป็นร้านรวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คาเฟ่ญี่ปุ่น ร้านสะดวกซื้อเกาหลี ร้านเครื่องเขียน จึงปิ๊งไอเดียออกมาว่า สำนักพิมพ์น่าจะทำแนวนี้บ้าง โดยเปลี่ยนบริบทให้เป็นสังคมไทย พร้อมกับตั้งใจที่จะออกมาเป็นนวนิยายชุด จึงใช้โมเดลในรูปแบบตอนทำโปรเจ็กต์จบสมัยอยู่มหาวิทยาลัย ด้วยการทาบทามนักเขียนหลากหลายแนวมาร่วมงาน ทำให้นวนิยายแต่ละเล่มในชุดนี้ มีความแตกต่างกันตามรสมือของนักเขียนแต่ละคน ทำให้เห็นความรักที่มีหลายเฉด จนเกิดเป็นชุด ‘ร้านสัมผัสรัก’ 

“ด้วยความที่สำนักพิมพ์เราเล็กและใหม่ ประกอบกับตอนนี้ในทีมหลักก็เหลือแค่บาสกับออม สองคน สไตล์การทำงานของ ‘หลวยสู’ เลยไม่ใช่การตั้งรับ รอใครส่งงานมาให้เราพิจารณาเพราะกำลังคนไม่พอ จึงตัดสินใช้ไปเสาะหาเอา    ซึ่งก็ตามมาด้วยโจทย์ยากอีก คือจะทำยังไงให้ได้ต้นฉบับจากนักเขียนดัง ๆ มาร่วมงาน จึงต้องกลับมาทำการบ้านว่านักเขียนคนไหนเขียนงานแนวไหน รูปแบบทางวรรณศิลป์เป็นอย่างไร เพื่อให้เข้ากับโปรเจ็กต์นวนิยายชุด แล้วค่อยไปเทียบเชิญ และเราไม่ได้รอให้นักเขียนเขียนต้นฉบับ 100% เสร็จแล้วมาส่งให้เรา แต่เราจะไปเสาะหาตั้งแต่ 0% เลย” บาสเล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังการทำงานที่กว่าจะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย

สำหรับรูปแบบการขาย ทางสำนักพิมพ์ใช้ช่องทางการขายผ่านออนไลน์เป็นหลัก เนื่องลูกค้าเป้าหมายอยู่บนโลกออนไลน์เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะนักอ่านที่เป็นสายนวนิยายรักกระแสหลักซึ่งคนกลุ่มนี้เขาจะมีร้านประจำ สำนักพิมพ์จึงนำหนังสือไปฝากขาย ควบคู่ไปกับการขายหนังสือในรูปแบบ e-book ซึ่งเป็นอีกช่องทางหลักที่สร้างรายได้ให้กับสำนักพิมพ์และนักเขียน

อย่างไรก็ดี หลวยสูสำนักพิมพ์ก็ไม่ทิ้งนักอ่านที่ชอบสะสมรูปเล่ม คนกลุ่มนี้มักจะเป็นสายที่ซื้อสะสมและชอบสัมผัสการอ่านจากตัวเล่มจริงมากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นนักอ่านสายวรรณกรรม ทำให้การคิดโปรเจ็กต์หนังสือขึ้นมาในแต่ละเรื่อง ต้องคิดตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าเรื่องไหนควรเน้นขายแบบ e-book หรือรูปเล่มมากกว่ากัน ทำให้สามารถประเมินได้ว่าควรลงทุนการผลิตงานหนึ่งชิ้นออกมาในรูปแบบใดที่จะตอบโจทย์คนซื้อคนอ่านได้มากที่สุด 

  นอกจากนี้การออกบูธที่งานสัปดาห์หนังสือฯ ที่จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง และฝากขายตามบูธหนังสือร้านอื่น ๆ ถือเป็นช่องทางการขายที่สำคัญ บาสกล่าวว่าสิ่งที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ลูกค้าขาจร แต่คือการสร้างการรับรู้ให้นักอ่านรู้จักสำนักพิมพ์มากขึ้น 

“งานสัปดาห์หนังสือช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราได้ลูกค้าจากหน้าร้านค่อนข้างเยอะจากบูธของหลวยสู และบาสยังใช้เทคนิคแบบป่าล้อมเมือง เรารู้จักบูธไหน เราฝากขายหมดเลย จนทำให้งานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมานวนิยายชุดเรือธงของสำนักพิมพ์อย่าง ‘ร้านสัมผัสรัก’ มีฝากขายทั้งหมด 15 บูธ ยอดขายถือว่าดีเลย นอกจากนี้มันทำให้คนรู้จักงานเรามากขึ้น ข้อดีของการขายหน้าร้าน หรือฝากขายตามบูธต่าง ๆ คือเราจะได้ลูกค้าขาจรที่เขาไม่ได้ตั้งใจมาซื้อ แต่เขาเห็นปกแล้วปกสวยดี ก็เลยซื้อ”

เมื่อนึกทบทวนถึงการทำสำนักพิมพ์ที่ผ่านมา บาส กล่าวว่าการทำธุรกิจ จะต้องสนุกกับมันในทุกกระบวนการ ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ เป็น 3 ขยัก ที่ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ เพราะสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจคือ ความสนุก ความฟิน ไม่ใช่ความทุกข์ทน พอการทำงานสนุก ผลงานก็จะออกมาสนุก ลูกค้าที่ซื้อหนังสือไปอ่านก็จะสนุกตามไปด้วย 

เมื่อแลไปข้างหน้า บาสกับออมมองว่าไม่ได้มองภาพหลวยสูสำนักพิมพ์ใหญ่มาก แต่จะเน้นไปที่คุณภาพที่การันตีได้ ตั้งใจที่จะรักษามาตรฐานและทำนวนิยายแต่ละเล่มให้ดีขึ้นไป เป็นสำนักพิมพ์ในดวงใจของนักอ่าน ส่วนในแง่ของนักเขียนจะรักษามาตรฐานในการดูแลและช่วยผลักดันนักเขียนไปสู่สายตานักอ่านมากขึ้น พร้อมไปกับอยากให้งานของสำนักพิมพ์สามารถต่อยอดไปเป็นสื่ออื่น ๆ อย่าง ละคร หรือ ซีรีส์ได้

อยากเปิดสำนักพิมพ์บ้างต้องทำอย่างไร ? รวยไหม ?

“บาสขอแชร์ในฐานะเพื่อน เนื่องจากตัวเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จมากจนจะไปแนะนำใครได้ จากการกระโจนลงมาสู่วงการหนังสือเต็มตัวมองว่า ต้องหาแนวทางของสำนักพิมพ์ตัวเองให้เจอก่อนว่าจะมีรูปลักษณ์เป็นสไตล์ไหน อะไรจะเป็นจุดเด่นของสำนักพิมพ์เรา ที่แตกต่างจากสำนักพิมพ์อื่น

 ถ้าเปรียบเทียบสไตล์โมเดลการทำงานของหลวยสูสำนักพิมพ์ อย่างที่กล่าวไปช่วงต้นคือ เมื่อระดมสมองคิดโปรเจ็กต์หนังสือ และเทียบเชิญนักเขียนไปแล้ว เมื่อได้ต้นฉบับมาก็จะเข้าสู่กระบวนการบรรณาธิการ ทำพิสูจน์อักษร จัดหน้าหนังสือ 

จากนั้นติดต่อโรงพิมพ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้พอเปิดสำนักพิมพ์ บางโรงพิมพ์เขาจะติดต่อมาหาเราเองเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการพื้นฐานของการทำหนังสือแต่ละเล่ม แม้แต่ตัวนักเขียนที่เขียนเรื่องเองและตีพิมพ์เองก็ใช้โมเดลนี้ ที่เหลือก็เป็นขั้นตอนของการตลาดทั่วไป”

  ออมกล่าวเสริมว่ายุคสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องทำสำนักพิมพ์ให้ใหญ่ แค่เน้นการตลาดบนโลกออนไลน์ก็เพียงพอแล้ว 

เมื่อถูกถามว่ารายได้ที่ทำสำนักพิมพ์ได้เยอะขนาดไหน สามารถเลี้ยงตัวได้เลยไหม ประเด็นนี้ออมเล่าให้ฟังต่อว่าในฐานะคนนอกที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการหนังสือ รู้สึกว่าธุรกิจนี้ก็มีรายได้อยู่พอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ก็จะได้ยินมาตลอดว่าทำสำนักพิมพ์ในยุคนี้จะอยู่ได้เหรอ แต่พอได้เข้ามาทำเต็มตัวก็รู้สึกว่าเงินที่ได้มาก็ดีอยู่พอสมควร จึงรู้สึกว่าในการทำธุรกิจไม่ว่าจะวงการไหน ล้วนมีตลาดของตัวเองอยู่แล้ว ในสิ่งที่เราชอบก็มีคนที่ชอบเหมือน ๆ กัน แค่เราต้องหาตลาดตัวเองให้เจอ 

เปิดตลาดวงการหนังสือ ผ่านเลนส์หลวยสูสำนักพิมพ์

วงการหนังสืออาจดูเหมือนจะผ่านยุครุ่งอรุณมาแล้ว ไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนแต่ก่อน แต่บาสมองว่าตลาดวงการหนังสือนั้นแค่เปลี่ยนรูปแบบการ ‘ฟู’ รูปแบบที่ ‘ฟู’ ตอนนี้อาจจะ ‘ฟีบ’ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อก่อน ตอนนี้อาจจะกำลังเฟื่องฟู โดยเฉพาะตลาดบนโลกออนไลน์

“เราอยู่ในยุคที่เมื่อก่อนหนังสือเล่มพิมพ์ที 5,000-3,000 เล่มเป็นปกติ แต่ทุกวันนี้แค่ 2,000 เล่ม ก็ยังขายยากแล้ว ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้อ่าน e-book ก็จะไม่รู้เลยว่ามันมีปรากฏการณ์ 1 วัน 1,000 โหลด มีจริงสำหรับนักเขียนที่ขายดี ตลาดมันอาจจะเปลี่ยนแพลตฟอร์ม ในแง่ของออนไลน์มากขึ้น”  

  สำหรับออมมองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นลิขสิทธิ์ทางปัญญาจะไม่มีวันตายหากทำแล้ว สามารถปรับตัวได้ และพัฒนาในน่าสนใจขึ้น ยังไงก็ขายได้แน่นอน ซึ่งมองว่าเป็นทุกวงการไม่ใช่เพียงแค่ตลาดหนังสือ  

เมื่อถูกถามถึงพฤติกรรมการอ่านของคนไทย บาส มองว่าการที่สังคมมองว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยลง น่าจะมาจากการที่คนซื้อหนังสือน้อยลงมากกว่า แต่พอสาวลึกลงไปอีกว่าทำไมคนไทยถึงซื้อน้อยลง แน่นอนว่าก็มาจากราคาหนังสือเล่มที่สูงขึ้น 

“พอเข้ามาในวงการนี้รู้เลยว่า สำนักพิมพ์ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้หนังสือราคาสูง ทุกคนก็อยากให้คนอ่านเข้าถึงหนังสือ แต่ปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนหนังสือเล่มแพงขึ้นเลยก็คือ ต้นทุนค่ากระดาษ ประกอบกับค่าครองชีพ ค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกันของประเทศไทย ทุกอย่างเลยกระทบกันไปหมด ทำให้การอ่านหนังสืออ่านสักเล่มมันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับคนเด็กจบใหม่ หรือนักเรียนนักศึกษา ในฐานะเจ้าของสำนักพิมพ์เราก็อยากได้รัฐบาลที่ดีมาแก้ไขปัญหาตรงนี้”

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เข้ามาช่วยโอบอุ้มตลาดลงการหนังสือได้มาก ๆ เลยคือวัฒนธรรมกองดอง ที่ซื้อมาก่อนเอาไว้ให้อุ่นใจก่อนค่อยอ่าน สุดท้ายแล้วตอนนี้การเป็นการสนับสนุนสำนักพิมพ์ สนับสนุนนักเขียนในอีกทางหนึ่ง

นิยามความสำเร็จของชาวหลวยสู 

เรามักจะเคยได้ยินค่านิยมชุดหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ว่า “เรียนจบแล้วต้องมีประสบการณ์ก่อน ถึงค่อยมาทำธุรกิจ” ซึ่งหลวยสูสำนักพิมพ์ไม่ได้เข้าข่ายตามค่านิยมดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย เมื่อจั่วคำถามพุ่งตรงไปยังเจ้าสำนักทั้งสอง ต่างนิ่งไปสักครู่ก่อนจะบอกว่าจริง ๆ แล้วชุดความคิดนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวเลย เพราะความชอบกับมองเห็นลู่ทางทำเงินก็เลยออกลุยทันที

บาสอธิบายเพิ่มว่า ชุดความคิดนี้สรุปได้ว่า ‘ต้องมีประสบกาารณ์’ ซึ่งประสบการณ์นั้นของบาสมาจากการเรียนในมหาวิทยาลับ การอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเยาว์ และการเป็นนักรีวิวหนังสือที่ทำให้รู้จักคนในวงการน้ำหมึก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประสบการณ์ชีวิต ที่กลายมาเป็นเบ้าหลอมในการทำธุรกิจสำนักพิมพ์ทั้งสิ้น

สำหรับนิยามความสำเร็จของบาส อยู่ที่ระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง และทำให้เต็มที่ 

“เต็มที่เท่าที่แรงกาย แรงใจจะมี อยากทำอะไร ณ ตอนนี้ อย่ารอ ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งเห็นผลเร็ว อย่าปล่อยให้ศักยภาพนั้นค่อย ๆ หายไป คิดอะไรก็อยากให้ทำเลย แต่ถ้าใครมีภาวะแล้งฝัน ไม่มี passion ไม่ใช่เรื่องผิด ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ คุณค่าของมันคือการได้ใช้ชีวิต บางคนอาจจะลองผิดลองถูก ในชีวิตไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน กว่าจะเจอความชอบ นานบ้างเร็วบ้าง แต่ละคนมันไม่เท่ากัน ช้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือ หากยังไม่ประสบความสำเร็จ หรือยังไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ ก็ไม่ต้องฝืนตัวเอง อย่าหลอกตัวเองว่ามันผ่านไปได้แล้ว อย่าบังคับให้ตัวเองต้องเข้มแข็ง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง ถ้าตอนนั้นพังอยู่ ก็ให้เวลาตัวเองในการฟื้นฟ พอถึงเวลาหนึ่งที่ผ่านมันไปได้เราจะรู้สึกเลยว่า ถ้าผ่านมันมาได้เราจะภูมิใจกับตัวเองมาก ๆ ที่ผ่านมันไป 

“ยอมรับความผิดหวัง เพราะสุดท้ายก็ชีวิตเราก็เช่นนี้ เท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ เรายังมีสิทธิ์ในการใช้ชีวิต ต่อให้มันจะล้มเหลวแค่ไหนหรือแตกสลายแค่ไหน บาสเชื่อว่าคุณค่าของการประกอบสร้าง ต่อให้มันแหลกสลาย แต่เวลาที่ผ่านไปใจเราที่เข้มแข็งขึ้น มันก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นตัวเราได้อีกครั้ง เป็นตัวตนเราคนใหม่ เป็นตัวตนเราในเวอร์ชั่นที่พร้อมรับมือกับปัจจุบัน แล้วจะก็สามารถเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆได้”

ส่วนออมมองคล้าย ๆ กับบาสในประเด็นเรื่องการลงมือทำ แค่เราได้มีโอกาสลงมือทำนั่นก็ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเราได้ก้าวข้ามตัวเองไปเรียบร้อย 

สำหรับค่านิยมที่เร่งให้คนประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ๆ ออมมองว่ามันไม่มีใครที่ไม่อยากไปถึงจุดนั้น แต่การที่สังคมพร่ำบอกค่านิยมดังกล่าว นัยหนึ่งมันคือการกดดันคนรับสาร หลายครั้งพานให้คิดไปว่า ทำไมคนอายุแค่นี้ประสบความสำเร็จไปหมดเลย ทำให้รู้สึกว่าหรือจริง ๆ แล้วตัวเรายังดีไม่พอ

“อะไรบางอย่างที่สังคมพยายามสร้างขึ้นมา แล้วมากดให้คนรุ่นเราต้องรีบสำเร็จ ต้องรีบโต ต้องรีบก้าวหน้า ต้องรีบรวย มันเป็นสิ่งที่มาทำร้ายตัวเรา ออมรู้สึกว่าคนอายุ 24 – 25 คนที่เพิ่งเรียนจบ แค่หาตัวเองให้ได้ว่าชอบอะไร อยากใช้ชีวิตแบบไหน แล้วคุณก้าวไป ได้ลงมือทำ ต่อให้ผลลัพธ์มันจะออกมาไม่ได้ดีที่สุดก็ตาม แต่มันได้ทำแล้ว นั่นแหละคุณก็ชนะในจุดนี้แล้ว ต่อไปในอนาคตก็จะมีทางไปต่อเองยิ่งไปกว่านั้น เราควรที่จะให้ค่ากับความล้มเหลวและมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนวางเป้าหมายได้ แต่เราอย่าไปคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น 100% เราแค่ต้องพยายามในทุก ๆ ฝีก้าวของเราแค่นั้นเอง” ออมสรุป

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
TAGGED:Gen ZThe Modernistงานหนังสือธุรกิจสิ่งพิมพ์นวนิยายนิยายร้านสัมผัสรักวรรณกรรมสำนักพิมพ์หนังสือหลวยสูสำนักพิมพ์
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article ‘จารไม่ฟัง’ เพลงใหม่ใช้เวลาแต่งวันเดียว จากความอัดอั้นของ ‘TangBadVoice’
Next Article จาก “เมทเทอร์นิช” สู่ “ทักษิณ Set Zero” ว่าด้วย ฉันทามติแช่แข็งของฝ่ายอนุรักษ์นิยม 
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

POLITICSWORLD

นักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐตึงเครียด หลังเกิด “สงครามอิสราเอล – ฮามาส”

By ระวี ตะวันธรงค์
Editor

งานหนัก-เงินน้อย-บูลลี่  เมื่องานราชการไทยพ่นพิษใส่คนรุ่นใหม่

By ระวี ตะวันธรงค์
POLITICS

ยัดเยียด “เมนูประจำจังหวัด” บ่งบอกอัตลักษณ์รัฐรวมศูนย์

By ระวี ตะวันธรงค์
POLITICS

ย้อนรอยพรรคภูมิใจไทย จากวันใต้ปีก “ทักษิณ”  “มันจบแล้วครับนาย” สู่วันร่วมหอลงโรง

By ระวี ตะวันธรงค์
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.