ไทยไม่แพ้ในสนามรบ… แต่กำลังแพ้ในสนามการรับรู้ วิเคราะห์สาเหตุทำไมไทยถูกมองเป็น “ผู้ร้าย” เมื่อมีวิพาทกับกัมพูชา พร้อมข้อเสนอแนะ การสื่อสารเชิงรุก
สงสัยไหม…เวลาที่มีความขัดแย้งชายแดน หรือดราม่าทางวัฒนธรรมระหว่าง ไทยกัมพูชา ทำไมสื่อตะวันตกถึงมักจะพาดหัวข่าวในทำนองว่า “ไทยรังแกกัมพูชา” เสมอ?
มันไม่ใช่แค่ความบังเอิญ แต่มันคือ “Design” ของโครงสร้างการสื่อสารโลก
ผมได้อ่านบทวิเคราะห์เจาะลึกเรื่อง “ความไม่สมดุลของความเห็นอกเห็นใจ” (Asymmetry of Empathy) และใช้ AIdeepresearch จากข้อมูลมากกว่า 197 แหล่งทั่วโลก
สิ่งที่ได้คือกรณีศึกษาชั้นดีของ Geopolitical Communication หรือ ”วาทกรรมเพื่อความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์“ ที่เราต้องรู้เท่าทัน ปรับวิธีการสื่อสารใหม่

ปูพื้นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก่อน
1) กับดัก “Bangkok Hub” ที่โลกมองไม่เห็น
เชื่อไหมว่า “แว่นตา” ที่สื่อโลกใช้มองอาเซียน ถูกผลิตขึ้นที่กรุงเทพฯ นี่เอง
สำนักข่าวระดับโลกอย่าง CNN, BBC หรือ Reuters ล้วนปักหลักบัญชาการ (Bureau Hub) อยู่ในไทย นักข่าวต่างชาติกินอยู่แบบไทย คุ้นเคยกับแหล่งข่าวไทย จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า Proximity Bias หรืออคติจากความใกล้ชิด
พอต้องทำข่าวเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา พวกเขาใช้วิธี “Parachute Journalism” หรือ กระโดดร่มลงไปทำข่าวแค่ฉาบฉวยช่วงวิกฤต และที่สำคัญแหล่งข่าวหลักที่นั่นไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นกลุ่ม NGO ที่เน้นขายสตอรี่ “ความน่าสงสาร” และผลกระทบมนุษยธรรม
ผลลัพธ์คือ? ข่าวไทยจะถูกนำเสนอแบบ คนวงใน (Insider) ที่มีมิติการเมืองและอำนาจที่ซับซ้อน แต่ข่าวกัมพูชาจะถูกลดทอน (Reduced) ให้เหลือแค่ภาพของ ดินแดนที่น่าสงสาร ในสายตาชาวโลกทันที

2) ทฤษฎี “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก” (The Bully & The Victim)
ในมุมมองของการสื่อสารเชิงภูมิรัฐศาสตร์ นี่คือการต่อสู้กันของ “ภาพจำ” ในสายตาตะวันตก กัมพูชายังถูกแช่แข็ง (Frozen) ไว้ที่ “Year Zero” หรือยุคทุ่งสังหาร ทำให้พวกเขามีสถานะเป็น “เหยื่อตลอดกาล” ที่โลกต้องโอ๋
ตัดภาพมาที่ไทย เราถูกแปะป้ายว่าเป็น “Teflon Thailand” คือประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง ล้มไม่เจ็บ และมีอำนาจต่อรองสูง
เมื่อสองภาพนี้มาเจอกัน มันเกิด “Standard of Sympathy” ที่ไม่เท่ากัน สื่อโลกจะเซ็ตค่าเริ่มต้น (Default) ให้ไทยเป็น “ผู้มีอิทธิพล” ที่ก้าวร้าว ส่วนกัมพูชาเป็น “เด็กที่ถูกรังแก”
นี่คือโครงสร้างที่ทำให้ไม่ว่าหน้างานจริงใครจะเริ่มยิงก่อน… ไทยก็ผิดตั้งแต่พาดหัวข่าวแล้ว
————
3) Strategic Victimhood: เมื่อ “ความอ่อนแอ” คืออาวุธ
สิ่งที่น่ากลัวกว่ากระสุนปืนใหญ่ คือการที่รัฐใช้ ความน่าสงสาร เป็นเกราะกำบังทางยุทธศาสตร์
ในขณะที่สื่อตะวันตกโฟกัสไปที่ “ชาวบ้านที่หนีตาย” สิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พรมคือ “ความเป็นผู้กระทำ” (Agency) ของรัฐกัมพูชา
การยอมรับบทบาท “เหยื่อ” ทำให้กัมพูชาสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจากการขยายอิทธิพลทางทหาร หรือการดึงมหาอำนาจอย่างจีนเข้ามาในภูมิภาค โดยที่โลกไม่ทันระแวง เพราะมัวแต่สงสาร
———
4) จุดเปลี่ยนคือ “Scambodia” แต่เกมการสื่อสารนี้กำลังจะพลิก…
การเกิดขึ้นของคอมพาวด์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสีหนุวิลล์ และวาทกรรม “Scambodia” กำลังทำให้สถานะ “เหยื่อ” สั่นคลอน
จากเดิมที่เป็น “ผู้ประสบภัย” ตอนนี้เริ่มถูกมองว่าเป็น “เจ้าบ้าน” ที่เปิดประตูให้ ทุนเทา เข้ามาทำร้ายคนทั้งโลก นี่คือจุดที่ Geopolitical Communication ของกัมพูชากำลังเจอกับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่

ข้อเสนอการสื่อสารเชิงรุก
1) เล่าเรื่อง “ความเป็นมนุษย์ของคนไทย” ให้โลกเห็น
วันนี้ภาพความเดือดร้อนของคนไทยแทบไม่เคยเดินทางไปถึงสื่อโลก ไม่ว่าจะเป็น ความสูญเสีย, การอพยพ, ผลกระทบต่อชีวิตจริง ฯลฯ
โลกจะเข้าใจไทยก็ต่อเมื่อ “ไทยเล่าเรื่องของเราเอง”
ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นเล่าแทน…
⸻
2) ตั้งทีมสื่อสารระหว่างประเทศแบบมืออาชีพ
พูดเร็วกว่า, ข้อมูลแน่นกว่า และเข้าใจภาษาของสื่อโลกมากกว่า
ประเทศไทยไม่ควรสื่อสารช้ากว่าความจริงในพื้นที่อีกแล้ว และต้องใช้ภาษาโลกเป็น 1st priority
⸻
3) เปลี่ยนบทบาทจาก “คู่ขัดแย้ง” → “ผู้รักษาเสถียรภาพของภูมิภาค”
แน่นอนว่าตอนนี้เราอยู่ในภาวะสงคราม การสื่อสารปุระดมด้วยคำว่า ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ทำถูกต้องแล้ว
แต่ในขณะเดียวกันถ้าไทยเสนอภาพต้องสื่อโลกว่า
“ความสงบของชายแดนคือผลประโยชน์ร่วมของทุกคน”
โลกจะเห็นไทยเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ผู้รุกราน
⸻
4) ใช้ SoftPower เป็น “เกราะในการสื่อสาร”
อาหาร–ดนตรี–ท่องเที่ยว–ศิลปะ–กีฬา เป็นภาษาสากล
ยิ่งโลกมีความรู้สึกเชิงบวกต่อเราเท่าไหร่
การตีกรอบ “ไทยเป็นผู้ร้าย” ก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น
⸻
5) ลดการปะทะในโลกออนไลน์
หลายครั้ง ความขัดแย้งในเน็ตแรงยิ่งกว่าในสนามจริง
และถูกใช้เป็นตัวอย่างโดยสื่อต่างประเทศเพื่อชี้ว่าไทย “รังแก” ประเทศเพื่อนบ้าน
นี่คือพื้นที่ที่เราต้องบริหารให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างภาพเชิงลบให้ประเทศโดยไม่รู้ตัว
⸻
สรุป: ไทยไม่แพ้ในสนามรบ… แต่กำลังแพ้ในสนามการรับรู้
วันนี้โลกให้ “ความเห็นใจ” กับกัมพูชา
แต่ให้ “ความคาดหวังสูง” กับไทย
ถ้าเราสื่อสารไม่ทัน และไม่ถึงชาวโลก
โลกจะเข้าใจไทยช้ากว่าความจริงเสมอ
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องยกระดับการสื่อสารระหว่างประเทศเป็น Global communication
ไม่ใช่เพื่อต่อสู้กับใคร
แต่เพื่อให้โลกเห็น “ความจริง” ที่รอบด้าน
และเพื่อให้ประเทศเรายืนอย่างสง่างามในภูมิภาคนี้
———
บทความโดย ระวี ตะวันธรงค์
ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
ที่ปรึกษาสมาคมนักข่าวิทยุโทรทัศน์ไทย
ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสื่อสารมวลชน กองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

