The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / Editor / มหากาพย์ประชานิยม จาก “30 บาท รักษาทุกโรค” ถึง “คนละครึ่งพลัส”
EditorINSIGHTPOLITICS

มหากาพย์ประชานิยม จาก “30 บาท รักษาทุกโรค” ถึง “คนละครึ่งพลัส”

Srawut
Last updated: 3 ต.ค. 2025 08:07
Srawut
Share
SHARE

เจาะลึกบทวิเคราะห์มหากาพย์ประชานิยมไทยกว่า 2 ทศวรรษ ตั้งแต่นโยบายเปลี่ยนประเทศอย่าง “30 บาทรักษาทุกโรค” ในยุคทักษิณ จนถึง “คนละครึ่งพลัส” ในรัฐบาลปัจจุบัน  สำรวจความสำเร็จ ความล้มเหลว และผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทย

นับตั้งแต่ชัยชนะของ “พรรคไทยรักไทย” ในปี 2544 การเมืองไทยได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ทรงพลังที่ชื่อว่า “ประชานิยม” มันคือมหากาพย์ที่เริ่มต้นจากนโยบายปฏิวัติวงการอย่าง “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนไปตลอดกาล

ผ่านร้อนผ่านหนาวของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งรัฐประหาร การประท้วง และการเลือกตั้งหลายครั้งหลายครา แต่นโยบายประชานิยมไม่เคยจางหายไปไหน หากแต่ได้วิวัฒนาการ แปลงร่าง และหยั่งรากลึกลงในทุกอณูของการแข่งขันทางการเมือง

บทวิเคราะห์ชิ้นนี้จะพาท่านย้อนรอยเส้นทางกว่าสองทศวรรษของสมรภูมิประชานิยมไทย เพื่อสำรวจความสำเร็จ ความล้มเหลว และมรดกที่นโยบายเหล่านี้ได้ทิ้งไว้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” จนถึงรัฐบาลปัจจุบันของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กับนโยบายอย่าง “คนละครึ่งพลัส”

1. ชัยชนะของไทยรักไทย และกระบวนทัศน์ทางการเมืองใหม่

ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในปี พ.ศ. 2544 ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลตามปกติ แต่คือจุดกำเนิดของกระบวนทัศน์ทางการเมืองใหม่สำหรับประเทศไทย

ชัยชนะครั้งนั้นได้นำเสนอ “เทคโนโลยีทางการเมือง” รูปแบบใหม่ นั่นคือ นโยบายประชานิยมที่ขับเคลื่อนด้วยโครงการระดับชาติซึ่งสามารถจับต้องได้ และมุ่งตอบสนองความต้องการของประชากรในชนบทและคนจนในเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพลเมืองขึ้นใหม่ และกำหนดทิศทางการเมืองไทยมาตลอดกว่าสองทศวรรษ

ก่อนยุค “ไทยรักไทย” การเมืองไทยมักดำเนินไปในรูปแบบของระบบอุปถัมภ์ที่จำกัดอยู่ในระดับท้องถิ่นและขึ้นอยู่กับสายสัมพันธ์ส่วนบุคคล

แต่นโยบายประชานิยมของ “พรรคไทยรักไทย” แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันคือยุทธศาสตร์ที่บริหารจัดการจากส่วนกลาง ขับเคลื่อนด้วยนโยบายที่ชัดเจน และออกแบบมาเพื่อสร้างฐานเสียงระดับชาติ

นโยบายเหล่านี้ได้ส่งมอบผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจากรัฐไปสู่ประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลางดั้งเดิมอย่างกลุ่มพัฒนาเอกชน (NGOs) ซึ่งส่งผลให้โครงสร้างทางการเมืองแบบเดิมถูกท้าทายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ

เพื่อประเมินภูมิทัศน์ของนโยบายประชานิยมที่ซับซ้อนนี้ จึงได้วิเคราะห์ “ความสำเร็จ” ของนโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน โดยใช้เกณฑ์การประเมิน 4 มิติ ดังนี้

1.1 ผลกระทบทางการเมือง (Electoral Impact): ความสามารถของนโยบายในการสร้างคะแนนนิยมและฐานเสียงที่มั่นคง อันนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง

1.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Impact): ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การลดความยากจน การเข้าถึงบริการของรัฐ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ

1.3 ความยั่งยืนทางการเมือง (Political Durability): ความสามารถของนโยบายในการดำรงอยู่ผ่านรัฐบาลชุดต่างๆ แม้จะเป็นรัฐบาลที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงกันข้าม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางการเมืองที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

1.4 ผลกระทบทางการคลัง (Fiscal Consequences): การประเมินต้นทุนและผลประโยชน์ในระยะยาว รวมถึงภาระทางการคลังและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ตลอดการวิเคราะห์ จะมีการนำเสนอมุมมองเชิงวิพากษ์จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสียงสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับวินัยทางการคลัง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว และความเสี่ยงที่นโยบายประชานิยมอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้

2. ยุคไทยรักไทย (พ.ศ. 2544-2549)

บทนี้จะวิเคราะห์ “สามประสาน” นโยบายคลาสสิกในยุคที่ทักษิณเป็นนายกฯ ในรัฐบาลไทยรักไทย  ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สร้างความโดดเด่นทางการเมืองและปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยอย่างถาวร

2.1 มรดกที่ไม่อาจลบล้าง: โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท

โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “30 บาทรักษาทุกโรค” เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2545

นโยบายนี้ได้ปฏิวัติระบบสาธารณสุขไทยโดยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ส่วนใหญ่ได้ด้วยการร่วมจ่ายเพียง 30 บาทต่อครั้ง ซึ่งเป็นการขยายความครอบคลุมด้านสุขภาพให้กับประชากรหลายสิบล้านคน ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีหลักประกันใดๆ

ในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจนำไปสู่วิกฤตทางการเงินของครัวเรือนยากจนได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ช่วยป้องกันไม่ให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในภาวะล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล

งานวิจัยชี้ว่า ทุกๆ 1 บาทที่รัฐบาลใช้จ่ายไปกับโครงการนี้ ผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับผลประโยชน์ทางสวัสดิการคิดเป็นมูลค่าประมาณ 75 สตางค์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสิ่งที่เรียกว่า “การรักษาระดับการบริโภค” (consumption smoothing) หรือการป้องกันไม่ให้มาตรฐานการครองชีพของครัวเรือนลดลงเมื่อมีสมาชิกเจ็บป่วย โครงการนี้ได้สร้างความรู้สึกมั่นคงและการได้รับการดูแลจากรัฐในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในทางการเมือง โครงการ 30 บาทกลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้รับความนิยมสูงสุดและทรงพลังที่สุดของรัฐบาลไทยรักไทย ความสำเร็จของมันหยั่งรากลึกในสังคมจนไม่มีรัฐบาลชุดใดกล้ายกเลิก

รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 2549 ทำได้เพียงเปลี่ยนชื่อเป็น “รักษาฟรีทุกโรค”  ในขณะที่รัฐบาลชุดต่อๆ มา ก็พยายามที่จะต่อยอดมรดกนี้ด้วยการยกระดับเป็น “30 บาทรักษาทุกที่” สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จขั้นสูงสุดของนโยบายในฐานะสถาบันทางการเมืองที่แตะต้องไม่ได้

2.2 การระดมพลังเศรษฐกิจฐานราก: กองทุนหมู่บ้าน

นโยบาย “กองทุนหมู่บ้าน” คือการอัดฉีดเงินทุนเริ่มต้นจำนวน 1 ล้านบาทให้กับหมู่บ้านและชุมชนเมืองเกือบทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้คณะกรรมการที่มาจากการเลือกตั้งในท้องถิ่นบริหารจัดการ เป็นกองทุนหมุนเวียนสำหรับให้สมาชิกกู้ยืม

ปรัชญาของโครงการคือการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น และเป็นทางเลือกให้กับแหล่งเงินกู้นอกระบบ

ผลการประเมินชี้ว่ากองทุนหมู่บ้านมีผลกระทบที่หลากหลายแต่โดยรวมเป็นไปในทิศทางบวก โครงการประสบความสำเร็จในการสร้างแหล่งสินเชื่อรายย่อยที่เข้าถึงง่าย และช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคในระดับท้องถิ่น

งานวิจัยพบว่า โครงการนี้มีผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้นต่อรายได้และการบริโภคของครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะยาวต่อการสะสมความมั่งคั่งยังไม่ชัดเจนนัก โดยมีบางรายงานการศึกษาชี้ว่า โครงการอาจเพิ่มภาระหนี้สินครัวเรือนโดยที่ไม่ได้สร้างสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ ความสำเร็จของกองทุนในแต่ละพื้นที่ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของคณะกรรมการท้องถิ่นเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในมิติทางการเมือง นโยบายนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่หลักแหลมอย่างยิ่ง มันได้สร้างสายสัมพันธ์ทางการเงินโดยตรงระหว่างรัฐบาลกลางกับประชาชนหลายล้านคนในระดับหมู่บ้าน ก่อให้เกิดความภักดีทางการเมืองอย่างมหาศาล และตอกย้ำแบรนด์ของ “พรรคไทยรักไทย” ลงลึกไปถึงระดับฐานรากที่สุดของสังคม

2.3 สร้างแบรนด์ชาติจากภูมิปัญญาท้องถิ่น: หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)

โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้รับแรงบันดาลใจจากโครงการในลักษณะเดียวกันของประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและยกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ตั้งแต่อาหารไปจนถึงงานหัตถกรรม เพื่อจำหน่ายในตลาดระดับชาติและนานาชาติ รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนในด้านการสร้างแบรนด์ การควบคุมคุณภาพ และการตลาด

โครงการ OTOP ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจในหลายด้าน สามารถสร้างรายได้ที่สำคัญให้กับชุมชนและได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีผลิตภัณฑ์จำนวนไม่น้อยที่สามารถเจาะตลาดส่งออกได้ และยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้

ถึงกระนั้น โครงการก็ยังคงมีจุดอ่อนที่ดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่อง เช่น คุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ การออกแบบแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ที่ยังไม่น่าดึงดูด และการขาดช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ผลิตจำนวนมาก ความสำเร็จมักกระจุกตัวอยู่กับผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูงเพียงกลุ่มเล็กๆ แทนที่จะกระจายไปอย่างทั่วถึง

2.4 การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชากรกลุ่มรากหญ้า

การดำเนินนโยบายของ “รัฐบาลทักษิณ” ไม่ได้เป็นเพียงการให้ผลประโยชน์ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับประชากรกลุ่มรากหญ้าอย่างถึงแก่น

มันเปลี่ยนพลวัตจากเดิมที่ประชาชนเป็นเพียงผู้รับการสงเคราะห์เป็นครั้งคราว ไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีบทบาทและมีความคาดหวังต่อสวัสดิการที่รัฐพึงจัดหาให้

นโยบายอย่าง “โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค” ไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะการกุศล แต่เป็น “สิทธิ” ของพลเมืองทุกคน การเปลี่ยนแปลงทางความคิดนี้ได้สร้าง “สัญญาประชาคมด้านสวัสดิการ” ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ พลเมืองจะมอบการสนับสนุนทางการเมืองเพื่อแลกกับการดำรงอยู่และการขยายตัวของผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม

สัญญาฉบับนี้อธิบายถึงความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรงที่ตามมา สำหรับผู้สนับสนุนทักษิณ การวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ จึงเปรียบเสมือนการโจมตีสิทธิและความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่พวกเขาเพิ่งได้รับ

ส่วนในมุมมองฝ่ายตรงข้าม การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างรัฐกับประชาชนนี้ถูกมองว่า เป็นการซื้อเสียงที่อันตรายและคุกคามระเบียบทางสังคมและการเมืองที่มีอยู่เดิม

ดังนั้น ประชานิยมจึงไม่ใช่แค่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเครื่องมือในการระดมพลังทางการเมืองที่สร้างรอยแยกทางสังคมอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองไทยในอีกสองทศวรรษต่อมา

3. ช่วงเปลี่ยนผ่านหลังรัฐประหาร (พ.ศ. 2549-2554)

บทนี้จะสำรวจช่วงเวลาหลังการรัฐประหารปี 2549 โดยมุ่งเน้นไปที่การรับมือของรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมรดกประชานิยมที่พวกเขาได้รับ และความพยายามในการสร้างนโยบายของตนเอง

3.1 รัฐบาลสุรยุทธ์ (ปี 2549-2551)

รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งหลังการรัฐประหาร ต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้ในทางอุดมการณ์จะไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมของทักษิณ แต่ก็ไม่สามารถเสี่ยงต่อกระแสต่อต้านทางการเมือง จากการยกเลิกโครงการที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้

แทนที่จะยกเลิก รัฐบาลได้เลือกใช้กลยุทธ์ “การปรับเปลี่ยนแบรนด์” โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “รักษาฟรีทุกโรค” ซึ่งเป็นการยกเลิกค่าธรรมเนียมร่วมจ่ายอันเป็นสัญลักษณ์ แต่ยังคงโครงสร้างหลักของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไว้ดังเดิม

การกระทำดังกล่าวเป็นการยอมรับโดยนัยยะถึงความนิยมอย่างล้นหลามและความจำเป็นทางการเมืองของนโยบายนี้

3.2 “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” (ปี 2551)

ช่วงเวลาสั้นๆ ของ “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” (พรรคพลังประชาชน) ในปี 2551 ซึ่งเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณ ได้หาเสียงอย่างชัดเจนว่าจะสานต่อและขยายนโยบายประชานิยมดั้งเดิม

สะท้อนให้เห็นถึงพลังทางการเมืองที่ยั่งยืนของแพลตฟอร์ม “ไทยรักไทย” เอกสารนโยบายของรัฐบาลทั้งสองแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการ “ต่อยอด” รากฐานของกองทุนหมู่บ้าน, OTOP, และโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นต้น

3.3 รัฐบาลอภิสิทธิ์ (ปี 2551-2554)

รัฐบาลที่นำโดย “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตระหนักดีว่า ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความต้องการของประชาชนได้ จึงพยายามสร้างวิสัยทัศน์ที่แข่งขันกันภายใต้แนวคิด “รัฐสวัสดิการ” เพื่อให้แตกต่างจาก “ประชานิยม” นโยบายที่สำคัญในยุคนี้ประกอบด้วย

– เช็คช่วยชาติ

เป็นการจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งเดียวจำนวน 2,000 บาทในรูปแบบของเช็ค ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในระบบประกันสังคมในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2552

แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการให้เงินแบบให้เปล่าในระยะสั้น แต่ผลการศึกษาก็ชี้ว่าสามารถกระตุ้นการบริโภคและมีผลทวีคูณต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นได้จริง

– เรียนฟรี 15 ปี

นโยบายนี้ขยายการสนับสนุนการศึกษาจากรัฐจาก 12 ปีเป็น 15 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า (ปวช.) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในภายหลังได้เปิดเผยปัญหาสำคัญ โดยชี้ว่านโยบายนี้ “ไม่ฟรีจริง” เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายแฝงจำนวนมากที่โรงเรียนยังคงเรียกเก็บ และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

– เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า

นี่อาจเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จและยั่งยืนที่สุดของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” โดยได้ปรับเปลี่ยนระบบการสงเคราะห์ผู้สูงอายุยากจนแบบเดิม มาเป็นการให้เบี้ยยังชีพรายเดือนแบบถ้วนหน้าแก่พลเมืองทุกคนที่มีอายุเกิน 60 ปี โดยจ่ายในอัตราก้าวหน้าตามช่วงอายุ นโยบายนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสวัสดิการสังคมไทยที่ได้รับความนิยมและดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงเวลานี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นโยบายประชานิยมกลายเป็นเรื่องปกติในทุกขั้วการเมือง ที่การรัฐประหารปี 2549 ไม่สามารถลบล้างมรดกของ “ทักษิณ” ได้

การตัดสินใจของ “รัฐบาลสุรยุทธ์” ที่จะคง “โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค” ไว้ คือการยอมรับว่าความคาดหวังของสาธารณชนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรแล้ว

“พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งถูกมองว่ามีแนวคิดอนุรักษ์นิยมทางการคลัง ก็ตระหนักว่าไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ด้วยนโยบายรัดเข็มขัดเพียงอย่างเดียว

“นโยบายอย่างเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า” จึงเป็นความพยายามโดยตรงที่จะแข่งขันเพื่อแย่งชิงคะแนนเสียงจากฐานประชากรกลุ่มเดียวกับที่สนับสนุน “ทักษิณ” แต่ใช้กรอบของ “สวัสดิการที่มีความรับผิดชอบ” แทน “ประชานิยมที่ขาดความยั้งคิด”

ดังนั้น มรดกของยุคนี้คือการที่สวัสดิการสังคมและการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้กลายเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ทุกพรรคการเมืองต้องมี

การถกเถียงไม่ได้อยู่ที่ว่า “ควรจะมี” นโยบายเหล่านี้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า “ควรจะมีนโยบายอะไร” และใครสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่ากัน ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การแข่งขันด้วยนโยบายประชานิยมที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”

4. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (พ.ศ. 2554-2557)

บทนี้จะเจาะลึกความพยายามของ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” ในการยกระดับโมเดลประชานิยมไปสู่จุดสูงสุด ด้วยนโยบายที่มีความทะเยอทะยานอย่างไม่เคยมีมาก่อน

4.1 กรณีศึกษาแห่งความเสี่ยง: โครงการรับจำนำข้าว

โครงการนี้แตกต่างจากการประกันราคาหรือการจำนำข้าวในอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะ “รับจำนำ” (ซึ่งในทางปฏิบัติคือการรับซื้อ) ข้าวเปลือกทุกเมล็ดจากชาวนาในราคาสูงกว่าราคาตลาดถึง 40-50%

เป้าหมายที่ประกาศไว้คือการยกระดับรายได้ของชาวนาและทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมราคาข้าวในตลาดโลกได้ผ่านการกักตุนสต็อกจำนวนมหาศาล

ในแง่ของความสำเร็จทางการเมืองและสังคม นโยบายนี้ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นจากชาวนา ซึ่งเห็นรายได้ของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

และเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ “พรรคเพื่อไทย” ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ในแง่เศรษฐกิจและการคลัง โครงการนี้คือหายนะที่สมบูรณ์แบบ

– ความเสียหายทางการเงินมหาศาล

TDRI และหน่วยงานอื่นๆ ประเมินว่าตัวเลขขาดทุนทางบัญชีตลอด 5 ฤดูการผลิตสูงกว่า 5 แสนล้านบาท รัฐบาลต้องซื้อข้าวในราคาสูงแต่ถูกบังคับให้ขายในราคาต่ำ เนื่องจากไม่สามารถผูกขาดตลาดโลกได้จริง

ตัวเลขความเสียหายสุดท้ายยังคงเป็นที่ถกเถียง โดยคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งระบุตัวเลขตั้งแต่ 1.78 – 2.8 แสนล้านบาท ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในเวลาต่อมา

– การบิดเบือนตลาดและคุณภาพข้าว

โครงการได้ทำลายกลไกตลาดข้าวของไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และสร้างแรงจูงใจให้ชาวนามุ่งเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของข้าวไทยในระยะยาว

– การทุจริตคอร์รัปชัน

โครงการได้เปิดช่องให้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสวมรอยนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ ไปจนถึงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ที่ไม่โปร่งใส TDRI ประเมินว่ามูลค่าความเสียหายจากการทุจริตอาจสูงถึง 8.4-10.2 หมื่นล้านบาท

แม้ว่าชนวนเหตุสำคัญที่จุดประกายให้เกิดการประท้วงทางการเมืองครั้งใหญ่ (การชุมนุมของ กปปส.) ในช่วงปลายปี 2556 จะมาจากความพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ

แต่ความล้มเหลวในการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าว ความเสียหายทางการคลังมหาศาล และข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ได้กลายเป็นประเด็นหลักที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนำมาใช้โจมตีเพื่อทำลายความชอบธรรม

TDRI เป็นหนึ่งในองค์กรที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่มีข้อบกพร่องในหลักการและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน

4.2 โครงการรถคันแรกและค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

– โครงการรถคันแรก

นโยบายนี้เสนอคืนเงินภาษีสูงสุด 100,000 บาทสำหรับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ประสบความสำเร็จในการสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะสั้นอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการ “ดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน” ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถยนต์ซบเซาอย่างหนักในเวลาต่อมา

และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยรุนแรงขึ้น เนื่องจากประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ได้ก่อหนี้เกินตัวเพื่อซื้อรถยนต์

– ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

เป็นนโยบายที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นอัตราเดียว 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นโยบายนี้ประสบความสำเร็จในการยกระดับรายได้ของผู้ใช้แรงงาน แต่ก็ถูกคัดค้านอย่างหนักจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องแบกรับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งนำไปสู่การปิดกิจการ การย้ายฐานการผลิต หรือการลดพนักงานและสวัสดิการ รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs เช่น การลดหย่อนภาษีและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบ

5. ยุคประยุทธ์ (ปี 2557-2566)

บทนี้จะสำรวจว่า รัฐบาลที่นำโดยทหาร ซึ่งมีจุดยืนต่อต้าน “ทักษิณ” ได้ปรับใช้และดัดแปลงยุทธศาสตร์ประชานิยมอย่างไร โดยเปลี่ยนวิธีการจากแบบถ้วนหน้าไปสู่การช่วยเหลือแบบกำหนดเป้าหมาย และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล

5.1 จากประชานิยมถ้วนหน้า สู่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

นโยบายนี้เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2560 หรือที่มักเรียกกันว่า “บัตรคนจน” เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากนโยบายแบบถ้วนหน้าในอดีต

โดยกำหนดให้ประชาชนต้องลงทะเบียนและพิสูจน์ว่า มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์รายได้และทรัพย์สินที่กำหนด เพื่อรับบัตรที่รัฐจะโอนเงินอุดหนุนรายเดือน (300 บาท) สำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมด้วยวงเงินสำหรับค่าเดินทางและค่าก๊าซหุงต้ม

เป้าหมายของโครงการคือการให้ความช่วยเหลือที่ตรงจุดและมีความรับผิดชอบทางการคลัง ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างฐานข้อมูลระดับชาติของผู้มีรายได้น้อยและกลไกการโอนเงินดิจิทัลโดยตรง

ในมิติทางการเมือง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น “ประชานิยมฉบับทหาร” ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างฐานเสียงให้กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ก่อนการเลือกตั้งปี 2562

และการให้คำมั่นว่าจะเพิ่มวงเงินในบัตร ก็กลายเป็นนโยบายหาเสียงหลักของทั้งพรรคของ “พล.อ.ประยุทธ์” และ “พล.อ.ประวิตร” ในการเลือกตั้งปี 2566

5.2 โครงการ “คนละครึ่ง” และ “เราชนะ”

ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 “รัฐบาลประยุทธ์” ได้เปิดตัวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โครงการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “คนละครึ่ง” ซึ่งรัฐบาลร่วมจ่าย 50% ของค่าซื้อสินค้าจากร้านค้ารายย่อยตามวงเงินที่กำหนดต่อวัน โดยการทำธุรกรรมทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

ส่วนโครงการ “เราชนะ” เป็นการโอนเงินช่วยเหลือที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว้างกว่า ซึ่งก็ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันเดียวกัน โครงการเหล่านี้ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางด้วยเหตุผลหลายประการ

– ความรวดเร็วและครอบคลุม: สามารถส่งมอบความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างรวดเร็วและตรงถึงประชาชนหลายสิบล้านคน

– การกระตุ้นเศรษฐกิจ: โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ที่มีเงื่อนไขให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การปรับตัวสู่ดิจิทัล: โครงการเหล่านี้ได้เร่งการปรับตัวของสังคมไทยสู่การชำระเงินแบบดิจิทัลและการใช้แอปพลิเคชันของรัฐอย่างก้าวกระโดด สร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ทรงพลังสำหรับนโยบายในอนาคต

– ความพึงพอใจของประชาชน: ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ว่าโครงการเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะ “คนละครึ่ง” ที่กลายเป็นนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดของรัฐบาลประยุทธ์

ความสำเร็จของโครงการที่ใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ ประชานิยมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “สิ่งที่ให้” แต่ยังรวมถึง “วิธีการให้” อีกด้วย

โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่นี้ได้มอบศักยภาพใหม่ให้แก่รัฐ ทั้งในด้านการจัดสรรผลประโยชน์และการควบคุม นโยบายประชานิยมในอดีต เช่น กองทุนหมู่บ้านหรือการรับจำนำข้าว พึ่งพาระบบการกระจายแบบอนาล็อกที่มักเกิดการรั่วไหล

แต่โครงการในยุคโควิดของรัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบบัตรประชาชน เพื่อสร้างท่อส่งเงินดิจิทัลโดยตรงจากคลังไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชน

สิ่งนี้มีนัยสำคัญสองประการ ประการแรก ทำให้การส่งมอบความช่วยเหลือมีประสิทธิภาพและขยายผลได้ง่าย ประการที่สอง ที่สำคัญกว่านั้น คือมันทำให้รัฐมีข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนหลายสิบล้านคน

“เทคโน-ประชานิยม” นี้จึงเป็นดาบสองคม มันมอบศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือทางสังคมที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มอบเครื่องมือที่ทรงพลังให้แก่รัฐในการเฝ้าระวังและควบคุมทางสังคม ซึ่งเป็นศักยภาพที่เหนือกว่าเป้าหมายเพียงเพื่อการหาเสียงของนโยบายประชานิยมในยุคก่อนหน้า

โครงสร้างพื้นฐานนี้ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากวิกฤต ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของขีดความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐอย่างถาวร

บทที่ 6: รัฐบาลเพื่อไทย และรัฐบาลภูมิใจไทย (ปี 2566-2568)

บทวิเคราะห์สุดท้ายนี้จะตรวจสอบวิวัฒนาการล่าสุดของนโยบายประชานิยมขนาดใหญ่ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และวิเคราะห์ทิศทางนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล”

6.1 โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ไปไม่ถึงฝั่ง

นโยบายเรือธงของรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร คือโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิ์ราว 50 ล้านคน ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง แต่โดยหลักการแล้วจะยกเว้นผู้มีรายได้สูงและผู้มีเงินฝากจำนวนมาก เงินจำนวนนี้ต้องใช้จ่ายภายในระยะเวลาและพื้นที่ที่กำหนด (อำเภอตามทะเบียนบ้าน)

การดำเนินโครงการมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดดิจิทัลวอลเล็ตเต็มรูปแบบ มาเป็นการดำเนินการแบบแบ่งเฟส ซึ่งรวมถึงการโอนเงินสดให้กลุ่มเปราะบางก่อนในระยะแรก

นโยบายนี้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน โดยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ, TDRI และธนาคารแห่งประเทศไทย

– เหตุผลของรัฐบาล

รัฐบาลให้เหตุผลว่าการอัดฉีดเงินกว่า 5 แสนล้านบาทในครั้งเดียวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้าง “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะเติบโตต่ำ

– ข้อโต้แย้งของนักวิจารณ์

ความไม่จำเป็น: นักวิจารณ์มองว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ และไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเช่นนี้

ภาระทางการคลัง: ต้นทุนมหาศาลของโครงการจะเพิ่มหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว และบั่นทอนงบประมาณสำหรับการลงทุนภาครัฐที่มีประสิทธิผลมากกว่า

ตัวทวีคูณทางการคลังต่ำ: TDRI และนักวิชาการหลายท่านชี้ว่า การแจกเงินในวงกว้างมีตัวทวีคูณทางการคลังต่ำกว่า 1 ซึ่งหมายความว่าเงินทุก 1 บาทที่ใช้ไปจะสร้างผลตอบแทนต่อ GDP ได้น้อยกว่า 1 บาท ทำให้เป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับการลงทุนโดยตรงของรัฐหรือการช่วยเหลือแบบเจาะจงกลุ่ม

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือน: มีความกังวลว่านโยบายนี้อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและ

ซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนให้รุนแรงยิ่งขึ้น

6.2 แนวทางของรัฐบาลอนุทิน (รัฐบาลปัจจุบัน)

ส่วนนี้จะวิเคราะห์แนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” โดยอ้างอิงจากแนวนโยบายของ “พรรคภูมิใจไทย” และผลงานในอดีต

– นวัตกรรมด้านสาธารณสุข: ต่อยอดความสำเร็จของโครงการ 30 บาทและผลงานของตนเอง รัฐบาลอนุทินมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ “ประชานิยมเชิงบริการ” ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมากกว่าการให้เงินสด

– การสานต่อ “เทคโน-ประชานิยม”: ด้วยความสำเร็จและความนิยมที่พิสูจน์แล้วของโครงการคนละครึ่ง รัฐบาลอนุทินได้รื้อฟื้นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบร่วมจ่ายในลักษณะเดียวกันในชื่อ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อเป็นทางเลือกที่เจาะจงเป้าหมายและบริหารจัดการทางการคลังได้ง่ายกว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

– การมุ่งเน้นเศรษฐกิจฐานราก: นโยบายต่างๆ เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านโครงการลักษณะเดียวกับ OTOP การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ เช่น การเข้าถึงน้ำดื่มสะอาด ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางของพรรคที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในระดับชุมชน

แนวทางของ”รัฐบาลอนุทิน” คือการสังเคราะห์โมเดลอื่นๆ เข้าด้วยกัน โดยนำเอา “การมุ่งเน้นฐานราก” ของ “ยุคทักษิณ” มาผสมกับ “ประสิทธิภาพทางดิจิทัล” ของยุคประยุทธ์ และห่อหุ้มด้วย “สวัสดิการเชิงบริการ” ที่เป็นจุดแข็งของโครงการ 30 บาท

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของประชานิยมไทยไม่ใช่ชัยชนะของโมเดลใดโมเดลหนึ่ง แต่เป็นภูมิทัศน์แบบผสมผสานที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องนำเสนอทั้งนโยบายแจกเงินขนาดใหญ่ (ที่ผ่านการตรวจสอบทางการคลังอย่างเข้มข้น) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ และการยกระดับบริการสาธารณะที่จับต้องได้ เพื่อแข่งขันในสนามการเมือง

7. สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน – ประชานิยมในฐานะราคาแห่งอำนาจ

สรุปได้ว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา นโยบายประชานิยมได้กลายเป็นภาษาหลักของการเมืองไทยในระบบการเลือกตั้ง โมเดลที่ “พรรคไทยรักไทย” ริเริ่มได้สร้างความคาดหวังชุดใหม่ให้แก่สาธารณชน ซึ่งไม่มีรัฐบาลชุดใดหลังจากนั้น ไม่ว่าจะมาจากขั้วการเมืองใด สามารถเพิกเฉยได้

โดยวิวัฒนาการของนโยบายประชานิยมในไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ระยะที่ชัดเจน ดังนี้

ระยะที่ 1 (รัฐบาลทักษิณ): โครงการสวัสดิการขนาดใหญ่แบบถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค , กองทุนหมู่บ้าน)

ระยะที่ 2 (รัฐบาลอภิสิทธิ์): โมเดลรัฐสวัสดิการ (เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, เรียนฟรี 15 ปี)

ระยะที่ 3 (รัฐบาลยิ่งลักษณ์): เมกะโปรเจกต์ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง (รับจำนำข้าว, รถคันแรก , ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท)

ระยะที่ 4 (รัฐบาลประยุทธ์): การช่วยเหลือที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งแบบกำหนดเป้าหมาย (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) และแบบถ้วนหน้า (คนละครึ่ง)

ระยะที่ 5 (รัฐบาลเศรษฐา/แพทองธาร): โมเดลผสมผสานที่พยายามสร้างเมกะโปรเจกต์ดิจิทัล อย่างดิจิทัลวอลเล็ต แต่ไม่สำเร็จ

ระยะที่ 6 (รัฐบาลอนุทิน): ต่อยอดโครงการ “คนละครึ่ง” เป็น “คนละครึ่งพลัส” รวมยังคงนโยบายก่อนหน้านี้ที่ประสบความสำเร็จไว้

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article แต่งตั้ง “พล.ท.บุญสิน” เป็น “ที่ปรึกษา ผบ.ทบ.”
Next Article สันติ ปิยะทัต ลงพื้นที่สุโขทัย พิษณุโลก ลุยน้ำท่วม ช่วยประชาชน
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

Editor

แอปฯ ธ.กรุงเทพล่ม ยอดหาย – ติดลบ จี้เยียวยา ตรวจสอบ

By Srawut
EditorINSIGHTPOLITICS

พล.ท.บุญสิน ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษ

By Srawut
IN TRENDPOLITICS

4 สถานที่เที่ยวในกรุงเทพ สวย(?)ดี แถมมีแฝดอยู่ต่างประเทศ

By adisak.mha
Editor

‘NMIXX’ บุกไทยพบปะเหล่า ‘NSWER’ ในงาน ‘NICE TO MIXX YOU in BKK’

By ระวี ตะวันธรงค์
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.