นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสมาคมทีวีดิจิทัลที่มาร้องขอเงินสนับสนุน แต่เป็นเรื่องของ “โครงสร้างพื้นฐานทางข้อมูล” และ “อธิปไตยทางดิจิทัล” (Digital Sovereignty) ของประเทศไทย ที่ กสทช. ในฐานะผู้กำกับดูแลคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะ “ต้องทำ” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนในยุคที่สมรภูมิรบย้ายจากหน้าจอทีวีไปอยู่บนจอสมาร์ทโฟนหมดแล้ว
การที่วาระ “National Streaming Platform” หรือ “โอทีทีแห่งชาติ” ถูกดองไว้ในสำนักงาน กสทช. มานานกว่า 2 ปี สะท้อนวิกฤตวิสัยทัศน์ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ในขณะที่พฤติกรรมคนไทยย้ายไปดูคอนเทนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตเกือบ 100% แล้ว แต่ผู้กำกับดูแลยังลังเลที่จะสร้างถนนดิจิทัลเส้นหลักให้ประชาชนได้ใช้งาน
คำว่า “ฟรีทีวี” กำลังจะ “หมดความหมาย” ถ้ามันยังจำกัดอยู่แค่การส่งสัญญาณผ่านเสาอากาศที่น้อยคนจะใช้งาน การที่ประชาชนจะเข้าถึงเนื้อหาทีวีดิจิทัลได้ พวกเขาต้องกระจัดกระจายไปดาวน์โหลดแอปของแต่ละช่อง หรือแย่กว่านั้นคือ ช่องเหล่านั้นไม่มีงบประมาณเพียงพอจะสู้กับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ จนต้องทยอยปิดตัวหายไป
นี่คือผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน ที่ กสทช. ต้องลงมือทำทันที:
1. ประชาชน “ต้อง” มีสิทธิเข้าถึง “ฟรีทีวี” ในช่องทางที่พวกเขาใช้งาน
ในอดีต กสทช. สนับสนุนการแจกคูปองเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกล่องทีวีดิจิทัล วันนี้ก็ไม่ต่างกัน กสทช. “ต้อง” สนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเนื้อหา “ฟรีทีวี” ได้ฟรี ผ่านอินเทอร์เน็ต
เงินสนับสนุน 300 ล้านบาทใน 3 ปี (ตามแนวทางที่ 2 ที่สำนักงาน กสทช. เลือก) ต้องถูกมองใหม่ว่านี่ไม่ใช่ “การให้” สถานีโทรทัศน์ แต่คือ “การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงของคนไทย ข่าวสารของประเทศไทย และเนื้อหาที่สร้างสรรค์โดยคนไทย จะยังคงส่งไปถึงประชาชนคนไทยได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วแพงๆ ให้กับแพลตฟอร์มต่างชาติ

2. นี่คือการรักษา “อธิปไตยทางดิจิทัล” ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางธุรกิจ
มองไปต่างประเทศ เราเห็นบทเรียนมากมาย:
• บทเรียนจากอังกฤษ (The Goal): BBC iPlayer คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการให้บริการสาธารณะในยุคดิจิทัล รัฐบาลอังกฤษสนับสนุน (ผ่านค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวี) ให้ BBC สร้างแพลตฟอร์มของตัวเองที่แข็งแกร่ง ทำให้คนอังกฤษเข้าถึงเนื้อหาคุณภาพสูง ข่าวสารที่เชื่อถือได้ และคอนเทนต์ของชาติตัวเองได้ฟรีและง่ายดาย มันคือ “บ้าน” ที่แข็งแกร่งของคนอังกฤษ
• บทเรียนจากเยอรมนี (The Hybrid): แพลตฟอร์ม Joyn คือการรวมพลังกันระหว่างผู้ประกอบการเอกชน (ProSiebenSat.1) และช่องสาธารณะ (ARD, ZDF) เพื่อสร้าง “Superstreamer” ของเยอรมนี พวกเขารู้ว่าถ้าต่างคนต่างทำ จะแพ้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จากอเมริกา พวกเขาจึงรวมกันเพื่อสร้างพลังต่อรอง และสร้างแพลตฟอร์มที่ “ฟรี” (มีโฆษณา) ให้ประชาชนเป็นทางเลือกหลัก
• บทเรียนจากฝรั่งเศส (The Warning): แพลตฟอร์ม Salto ที่เป็นการร่วมทุนของผู้ประกอบการทีวี 3 รายใหญ่ในฝรั่งเศส “ล้มเหลว” และต้องปิดตัวไปในปี 2023 เพราะช้าเกินไป ขาดการสนับสนุนจากรัฐที่มากพอ และไม่สามารถสู้กับการแข่งขันได้ นี่คือบทเรียนราคาแพงที่ผู้บริหารฝรั่งเศสยอมรับในภายหลังว่า “เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดทางยุทธศาสตร์”
คำถามคือ กสทช. กำลังจะพาไทยเดินซ้ำรอยความล้มเหลวของฝรั่งเศส หรือจะเลือกสร้างความสำเร็จแบบอังกฤษและเยอรมนี?
การปล่อยให้เรื่องนี้ล่าช้าไปอีกแม้แต่วันเดียว คือการปล่อยให้แพลตฟอร์มต่างชาติยึดครองน่านน้ำดิจิทัลของเราโดยสมบูรณ์ เมื่อถึงวันนั้น ข้อมูลพฤติกรรมการรับชมของคนไทยทั้งหมด (Big Data) จะตกอยู่ในมือต่างชาติ และที่สำคัญที่สุด “เนื้อหาสาธารณะ” “ข่าวสารยามวิกฤต” หรือ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทย จะไม่มีที่ยืนหลักเป็นของตัวเอง

3. ทางเลือกที่ 2 คือจุดเริ่มต้นที่ “ต้องทำ” ทันที
การเลือก “แนวทางที่ 2: ใช้แพลตฟอร์มเดิมและพัฒนาต่อยอด” เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้ มันคือการต่อยอดสิ่งที่ทีวีดิจิทัลพยายามทำกันเองอยู่แล้ว แต่ขาดแรงสนับสนุนจากภาครัฐ
บอร์ด กสทช. โดยเฉพาะท่านประธาน ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ต้องใช้อำนาจและวิสัยทัศน์ในวันศุกร์นี้เพื่อ “อนุมัติ” และ “ผลักดัน” ไม่ใช่แค่การ “รับทราบ” หรือ “เลื่อน” ออกไปอีก
การตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่ภาระ แต่เป็น “ภารกิจ” ของ กสทช. ในยุคนี้ เพื่อสร้างหลักประกันว่าคนไทยจะยังคงมี “พื้นที่สื่อสาธารณะ” ที่เป็นของคนไทย บนโลกออนไลน์ที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่จริง
การรอคอยมา 2 ปี มันนานเกินพอแล้ว

