ความท้าทายของ ครม. อนุทิน 1 ก็คือการสร้างความสมดุล เพื่อให้เกิดเสถียรภาพ
ครม.อนุทิน คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ “ศิลปะแห่งการประนีประนอม” และ “ยุทธศาสตร์การสร้างสมดุล” ท่ามกลางภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
นี่ไม่ใช่แค่การจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นการประกอบสร้างอำนาจขึ้นมาใหม่จากซากปรักหักพังของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งล่มสลายลงเพราะวิกฤตความเชื่อมั่น
การวิเคราะห์ ครม. ชุดนี้จึงต้องมองลึกลงไปในโครงสร้างและการจัดวางตัวบุคคล ซึ่งเผยให้เห็นนัยยะทางการเมืองที่น่าสนใจหลายประการ
1. การผสมผสานระหว่าง “การเมืองเรื่องผลประโยชน์” กับ “กลุ่มเทคโนแครต “
หัวใจสำคัญของ ครม. ชุดนี้คือความพยายามอย่างยิ่งยวดของ “อนุทิน” ที่จะสร้างสมดุลระหว่าง 2 ขั้วอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขั้วการเมืองดั้งเดิม: นี่คือการตอบแทนกลุ่มก้อนทางการเมืองที่ค้ำจุนอำนาจให้รัฐบาลเกิดขึ้นได้ การจัดสรรตำแหน่งสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน
“พรรคภูมิใจไทย” ในฐานะแกนนำย่อมคุมกระทรวงเกรดเอ โดยเฉพาะการที่ “อนุทิน” ควบตำแหน่งนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครอง
การกลับมาของ “โสภณ ซารัมย์” ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คือการให้รางวัลแก่ความภักดีและตอกย้ำฐานอำนาจในบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ขณะเดียวกัน การจัดสรรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้แก่กลุ่มของ “ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า” และกระทรวงสาธารณสุขให้ “พรรคพลังประชารัฐ” ก็คือการแบ่งเค้กอำนาจเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลผสมอย่างแท้จริง
ขั้วเทคโนแครต (Technocrat): นี่คือยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดของ “อนุทิน” การดึง “คนนอก” ที่มีโปรไฟล์ดีและได้รับการยอมรับในวงกว้างเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ เปรียบเสมือนการสร้าง “เกราะป้องกัน” ให้กับรัฐบาล
การมีชื่อของ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” (รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย), “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” (รองนายกฯ และ รมว.คลัง) และ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” (รมว.พาณิชย์) ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที
บุคคลเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “กันชน” ลดแรงเสียดทานและเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลชุดนี้มีแต่นักการเมืองที่มุ่งหาผลประโยชน์
2. รัฐบาล “เฉพาะกิจ” มุ่งเน้นผลงานระยะสั้น
บริบทการจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นหลังวิกฤต และมีข้อตกลงที่อาจนำไปสู่การยุบสภาในเวลาไม่นาน ทำให้ ครม. ชุดนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นรัฐบาล “วิ่งระยะสั้น” มากกว่า “วิ่งมาราธอน”
ภารกิจเร่งด่วน 4 ด้านที่ประกาศออกมา โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปราบปรามภัยสังคม ล้วนเป็นนโยบายที่มุ่งสร้างผลงานให้เห็นผลเร็วและจับต้องได้
การประกาศว่าจะฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นนโยบายประชานิยมที่เข้าถึงประชาชนในวงกว้างและสามารถสร้างคะแนนนิยมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผลสำรวจล่าสุดก็ชี้ว่าแนวทางนี้ได้รับการตอบรับที่ดี
อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์นี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐบาลเอง โดยเฉพาะระหว่างฝ่ายการเมืองที่ต้องการใช้งบประมาณเพื่อสร้างความนิยม กับฝ่ายเทคโนแครตในกระทรวงการคลัง ที่ต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลัง นี่คือเส้นด้ายบางๆ ที่ “อนุทิน” ต้องบริหารจัดการให้ดี
3. ความท้าทายและจุดเปราะบาง
แม้การจัดทัพจะดูลงตัว แต่ ครม. อนุทิน 1 ก็มีความเปราะบางซ่อนอยู่หลายจุด
ความขัดแย้งเชิงนโยบาย: ดังที่กล่าวไป ความตึงเครียดระหว่างแนวคิดประชานิยมของฝ่ายการเมืองกับแนวคิดรักษาเสถียรภาพทางการคลังของทีมเศรษฐกิจเทคโนแครต คือระเบิดเวลาที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
เอกภาพที่เปราะบาง: รัฐบาลผสมที่เกิดจากการรวมตัวของหลายกลุ่มก้อนการเมือง มักมีปัญหาเรื่องเอกภาพ การต่อรองผลประโยชน์และการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เสถียรภาพของรัฐบาลจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้งของนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ
แรงกดดันจากฝ่ายค้าน: พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ “พรรคประชาชน” ได้ปรับกระบวนทัพและประกาศ
พร้อมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการบริหารประเทศ
โดยสรุป ครม. อนุทิน 1 คือผลลัพธ์ของการคำนวณทางการเมืองที่ซับซ้อน เป็นรัฐบาลที่ออกแบบมาเพื่อสร้างเสถียรภาพในระยะสั้นและกอบกู้ความเชื่อมั่นผ่านการใช้ “ทีมเทคโนแครต” เป็นจุดขาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองต่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล
ความสำเร็จหรือล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้จึงแขวนอยู่บนความสามารถของ “อนุทิน” ในการควบคุมสมดุลที่เปราะบางนี้ไว้ให้ได้ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่รออยู่ข้างหน้า

