“วิเคราะห์ผลโพลภาคตะวันออกปี 2568 เทียบผลเลือกตั้งล่าสุด พบกลุ่มยังไม่ตัดสินใจหนุนพรรคใดสูงถึง 34.90% กลุ่มยังไม่ตัดสินใจหนุนใครเป็นนายกฯ 39.75 %
ภูมิทัศน์การเมืองในภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย 8 จังหวัด กำลังเผชิญกับคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาอย่างยิ่ง การนำผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต ปี 2566 มาเทียบกับกระแสความนิยมล่าสุดจาก “นิด้าโพล” (เผยแพร่ 23 พ.ย. 2568) เผยให้เห็นช่องว่างและความผันผวนที่สูงลิ่ว ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเลือกตั้งครั้งถัดไปได้อย่างน่าสนใจ
1. เมื่อกลุ่มยังไม่ตัดสินใจ มีคะแนนเป็นอันดับ 1
ผลการสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลปี 2568 ชี้ชัดว่า “ความไม่แน่นอน” คืออำนาจสูงสุดในการเมืองภาคตะวันออก โดยมีผู้ระบุว่า “ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้” สูงถึง 34.90 % ซึ่งเป็นอันดับ 1
– พรรคการเมืองที่มีฐานเสียงมากที่สุดในการเลือกพรรคในโพลนี้คือ พรรคประชาชน ในอันดับ 2 ด้วยคะแนน 24.65 %
– อันดับ 3 คือ พรรคภูมิใจไทย ด้วยคะแนน 10.95 %
– อันดับ 4 คือ พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยคะแนน 7.95 %
– อันดับ 5 คือ พรรคเพื่อไทย ด้วยคะแนน 7.50 %
ข้อสังเกต
(1) ความไม่แน่นอนทำไมถึงสูงขนาดนี้ ?
คะแนน 34.90 % หรือหนึ่งในสามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แสดงให้เห็นว่า คนภาคตะวันออกอาจรู้สึกว่าไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจหรือความเชื่อมั่นทางการเมืองได้อย่างแท้จริง คำถามคือ พรรคการเมืองใดจะสามารถกวาด 34.90 % นี้ได้มากที่สุด ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ?
(2) คะแนน “พรรคประชาชน” สะท้อนอะไร?
แม้ว่าพรรคประชาชนจะมีฐานเสียงที่มั่นคงและเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มพรรคที่ถูกระบุชื่อในโพล แต่คะแนน 24.65 % ก็ยัง น้อยกว่ากลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าแม้จะมีฐานเสียงที่มั่นคง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการคว้าชัยชนะอย่างเด็ดขาด

2. การวิเคราะห์ผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรี: ใครคือตัวเลือกหลัก
เมื่อถามถึงบุคคลที่คนภาคตะวันออกจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ผลลัพธ์ก็ตอกย้ำถึงความไม่แน่นอนของกระแสผู้นำ โดยกลุ่มที่ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” เป็นอันดับ 1 ที่ 39.75 %
– คู่ชิงที่สูสี: นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) ได้อันดับ 2 ด้วยคะแนน 15.90 % และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) ได้อันดับ 3 ด้วยคะแนน 15.35 % ซึ่งคะแนนใกล้เคียงกันมาก
– อันดับ 4 คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) ที่ 8.20 % และอันดับ 5 คือ พลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ (พรรคเศรษฐกิจ) ที่ ร้อยละ 5.60 %
ข้อสังเกต
ความท้าทายของพรรคการเมือง: เมื่อประชาชนเกือบ 40 % ยังไม่มีผู้นำในดวงใจ พรรคการเมืองจะสามารถสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่ดึงดูดใจได้อย่างไร? กลยุทธ์ที่เน้นตัวบุคคลเพียงอย่างเดียวจะยังคงใช้ได้ผลในพื้นที่นี้หรือไม่ ?
3. การเปรียบเทียบกับผลเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566
ผลการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566 ใน 8 จังหวัดภาคตะวันออก (รวม 31 ที่นั่ง) ชัยชนะอย่างถล่มทลายเป็นของ พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) ที่ได้จำนวน สส. ไปถึง 18 ที่นั่ง เป็นอันดับ 1 ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน สส. 6 ที่นั่ง และ พรรคพลังประชารัฐ ได้ 4 ที่นั่งเป็นอันดับ 3 ส่วน พรรคภูมิใจไทย ได้ 2 ที่นั่ง เป็นอันดับ 4 และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 1 ที่นั่ง เป็นอันดับ 5
เมื่อนำผลการเลือกตั้งมาเทียบกับกระแสในโพลปลายปี 2568 กลับเห็นความเปลี่ยนแปลงสำหรับหลายพรรคการเมือง ดังนี้
– พรรคประชาชน (พรรคก้าวไกล) : แม้จะเคยได้รับ สส. ถึง 18 ที่นั่ง แต่กระแสความนิยมพรรคในโพลปี 2568 อยู่อันดับ 2 ที่ 24.65 % ซึ่งยังคงมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพรรคที่มีอันดับในโพล
– พรรคภูมิใจไทย : เป็นพรรคที่มีความนิยมในโพลปี 2568 พุ่งสูงขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ที่ 10.95 % แซงหน้า พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ แม้เคยได้รับ สส. เพียง 2 ที่นั่งในปี 2566 แสดงถึงการเติบโตของฐานเสียงในภาคตะวันออก
– พรรคเพื่อไทย : เคยได้รับ สส. ถึง 6 ที่นั่ง แต่กระแสความนิยมในโพลปี 2568 ลดลงไปอยู่ในอันดับ 5 ที่ 7.50 % ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
– พรรคพลังประชารัฐ : เคยได้รับ ส.ส. 4 ที่นั่ง แต่กระแสความนิยมในโพลปี 2568 ลดลงไปอยู่ในอันดับ 9 ที่ 1.85 % ซึ่งเป็นวิกฤตความนิยมที่น่าเป็นห่วง
– พรรครวมไทยสร้างชาติ : เคยได้รับ ส.ส. 1 ที่นั่ง และในโพลปี 2568 ได้อันดับ 7 ที่ 3.90 %

4. สรุปกระแสการเปลี่ยนแปลง
(1) คะแนนนิยมพรรคภูมิใจไทยสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ
การที่พรรคภูมิใจไทยมีคะแนนโพลปี 2568 สูงถึง 10.95 % บ่งชี้ว่าพรรคนี้อาจประสบความสำเร็จในการขยายฐานเสียงผ่านนโยบาย หรือกำลังสร้างความนิยมจากฐานเสียงของตระกูลการเมืองท้องถิ่น (บ้านใหญ่) ในพื้นที่ภาคตะวันออก
(2) เลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคประชาชนจะรักษาแชมป์ภาคตะวันออกได้หรือไม่ ?
แม้ชนะขาดในปี 2566 โดยได้ 18 ที่นั่ง แต่กระแสความนิยมพรรคในโพลไม่ได้นำโด่งเกินกว่าร้อยละ 25 คำถามคือ จำนวนที่นั่งมหาศาลที่ได้มานั้นมาจากกระแสชั่วคราว (Landslide Victory) หรือเป็นฐานเสียงที่ยั่งยืน?
โดยสรุปแล้ว การเมืองภาคตะวันออกกำลังเข้าสู่ช่วง “ศึกแห่งความผันผวน” การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะตัดสินกันที่ความสามารถในการดึงคะแนนจากกลุ่ม ที่ยังไม่ตัดสินใจ 34.90 % และกลุ่มที่ ยังไม่พบผู้นำที่เหมาะสม 39.75 % เท่านั้น พรรคที่เคยได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายอาจไม่สามารถพึ่งพากระแสเดิมได้อีกต่อไป ขณะที่พรรคที่กำลังเติบโตอย่างภูมิใจไทยก็พร้อมที่จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญ
อ้างอิง :

