การเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 มิใช่เพียงแค่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลตามวาระปกติ แต่มันคือ “จุดตัดทางประวัติศาสตร์”ที่เผยให้เห็นรอยร้าวในโครงสร้างอำนาจไทย
ชัยชนะอย่างเหนือความคาดหมายของพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่บีบให้ผู้เล่นหน้าเดิมในกระดานการเมืองต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
พรรคเพื่อไทยซึ่งเคยครองความเป็นเจ้าสนามในฐานะ “แชมป์ตลอดกาล” และสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กลับพบว่าตนเองถูกผลักให้ตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเดินหน้าไปกับกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือจะหันหลังกลับไปจับมือกับศัตรู เพื่อเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจ
การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยในการฉีก MOU ของ 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล และหันไปจับมือกับขั้วตรงข้าม เพื่อจัดตั้งรัฐบาล จึงไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคทางตัวเลขในสภา แต่คือการเปลี่ยนจุดยืนทางยุทธศาสตร์ครั้งมโหฬาร
เพื่อไทยพยายามสถาปนาตนเองใหม่ในฐานะ “อนุรักษ์นิยมใหม่” (Neo-Conservative) พรรคการเมืองที่เสนอตัวเป็น “โซ่ข้อกลาง” และ “ผู้พิทักษ์” โครงสร้างอำนาจเดิมจากการคุกคามของฝ่ายก้าวหน้า โดยแลกกับดีลลับต่างๆ ที่ทยอยให้ร้อง “อ๋อ” ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึง “แพทองธาร ชินวัตร” ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาที่ดิ่งลงเหว ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์การแปลงร่างเป็น “อนุรักษ์นิยมใหม่” ของเพื่อไทยนั้น คือความล้มเหลวที่แลกมาด้วยต้นทุนที่แพงที่สุด เพราะนอกจากจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างจริงใจจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมแล้ว ยังต้องสูญเสียมวลชนดั้งเดิมไปจำนวนมาก

1. ปฐมบทแห่งความเสื่อม: จาก MOU ประชาธิปไตย สู่ดีลข้ามขั้ว
ความล้มเหลวของความเป็น “อนุรักษ์นิยมใหม่” (Neo-Conservatism) ของเพื่อไทย ไม่ได้เริ่มวันที่แพทองธารหลุดจากตำแหน่ง แต่มันเริ่มตั้งแต่วินาทีที่พรรคตัดสินใจ “ฉีก MOU” ที่ทำร่วมกับพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน)
– การประเมินที่ผิดพลาด: เพื่อไทยเชื่อมั่นในทฤษฎี “ปากท้องมาก่อนการเมือง” โดยเชื่อว่าหากเศรษฐกิจดี ประชาชนจะลืมเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง แต่ความเป็นจริงในยุคดิจิทัล ความจำของสังคมนั้นยาวนานกว่าที่คิด
– ต้นทุนที่จ่ายแพง: การจับมือกับขั้วตรงข้าม เพื่อแลกกับการนำ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับบ้าน เป็นการทำลาย Brand DNA ของพรรคที่สั่งสมมา 20 ปี ในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการ ทำให้ฐานเสียงดั้งเดิม แตกสลายในทันที

2. นิยามของ “อนุรักษ์นิยมใหม่” ฉบับเพื่อไทย
เพื่อไทยพยายามวางตำแหน่งตัวเองใหม่ ไม่ใช่ในฐานะพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่พยายามเป็น “กันชน” เพื่อสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบถอนรากถอนโคนของฝ่ายสีส้ม
– ยุทธศาสตร์: เสนอตัวว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า สำหรับกลุ่มอำนาจเก่า โดยไม่แตะต้องโครงสร้างอำนาจเดิม แต่จะบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ทันสมัย
– ความย้อนแย้ง: การเป็นอนุรักษ์นิยมต้องอาศัย “การได้รับความไว้วางใจ” แต่เพื่อไทยไม่มีสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เพื่อไทยมีคือภาพลักษณ์ของ “นักเจรจาผลประโยชน์” ทำให้กลุ่มอำนาจเดิมไม่ได้ไว้ใจเพื่อไทยจริงๆ เพียงแต่ใช้เป็นหมากเพื่อกำราบพรรคส้ม
3. ความล้มเหลวในการบริหารและนโยบาย
เมื่อความชอบธรรมทางอุดมการณ์หมดไป เพื่อไทยเหลือขาเดียวให้ยืนคือ “ผลงาน” แต่ช่วงที่เป็นรัฐบาลพิสูจน์แล้วว่า…
– นโยบายเรือธงล้มเหลว : ดิจิทัลวอลเล็ต และ Soft Power กลายเป็นโครงการที่เต็มไปด้วยข้อครหา ความล่าช้า และความไม่ชัดเจน ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงอย่างที่โฆษณา
– กับดักนิติสงคราม : แม้จะข้ามขั้วมาแล้ว แต่กลไกตรวจสอบ (องค์กรอิสระ) ที่วางไว้โดยรัฐธรรมนูญ 60 ก็ยังทำงานอย่างแข็งขันกับตระกูลชินวัตร การที่แพทองธารถูกสอยร่วงจากตำแหน่ง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า“ใบอนุญาต” ที่ออกให้เพื่อไทยนั้น มีวันหมดอายุ และ เพิกถอนได้ทุกเมื่อ

4. “ระบอบทักษิณ” ในคราบอนุรักษ์นิยมใหม่
การหลุดจากตำแหน่งของแพทองธาร คือจุด Climax ที่ชี้ว่าโมเดล “อนุรักษ์นิยมใหม่” ของเพื่อไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะ…
– ขวาไม่เอา : กลุ่มอนุรักษ์นิยมเดิม หันไปหานอมินีใหม่ที่ไว้ใจได้มากกว่าและคุมได้ง่ายกว่า
– ซ้ายไม่แล : ฝ่ายประชาธิปไตยและคนรุ่นใหม่มองเพื่อไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเก่าไปแล้ว
– วิกฤตศรัทธา : คะแนนนิยมที่ตกต่ำไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคล แต่คือการหมดสภาพของการเป็น “สถาบันทางการเมือง” เพื่อไทยกลายเป็นพรรคที่ไร้จุดยืน ไร้อุดมการณ์ และไร้พันธมิตรที่แท้จริง
5. ความไว้วางใจสร้างยากกว่าผลประโยชน์”
ความพยายามของเพื่อไทยที่จะเป็น “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมระหว่างฝ่ายอำนาจเก่ากับโลกใหม่ กลายเป็นการเอาตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย สุดท้ายเมื่อฝ่ายอำนาจเก่าเข้มแข็งพอ หรือเมื่อฝ่ายก้าวหน้าเติบโตขึ้น พรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นส่วนเกินทางการเมือง
บทเรียนสำคัญคือ “ความไว้วางใจสร้างยากกว่าผลประโยชน์” เพื่อไทยเลือกผลประโยชน์ (การกลับบ้าน , การเป็นรัฐบาล) แต่ทำลายความไว้วางใจ และนั่นคือราคาที่ต้องจ่ายด้วยอนาคตของพรรคทั้งพรรค

