“รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล” ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ชี้ “ทักษิณ” กลับมาลุย ยัน “เพื่อไทย” จัดเต็มในศึกเลือกตั้ง
หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” บินไปดูไบช่วงโค้งสุดท้ายก่อนโหวตเลือกนายกฯ ทำให้หลายคนคิดว่า มันอาจเป็นการถอยแบบสุดทางเพื่อไม่ต้องเสี่ยงกลับเข้าตะราง หากผลคำตัดสินคดีชั้น 14 ออกมาในทางลบ
แต่จากการประกาศว่าจะกลับมาฟังคำพิพากษา และก็กลับมาจริงๆ ของ “ทกษิณ” ในช่วงค่ำวันที่ 8 ก.ย. ก็มีนัยยะทางการเมืองที่ต้องจับตา เพราะชัดเจนแล้วว่า เขาพร้อมจะรับกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบก็ตาม
“รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล” ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองนับจากนี้ ให้กับ The Insight เป็นฉากๆ ซึ่งในแต่ละ scenario ก็มีแนวโน้มเข้มข้นดุดันในระดับห้ามกระพริบตา ดังต่อไปนี้
1. คดีชั้น 14 ต่อให้ผลออกมาเลวร้ายที่สุด ทักษิณก็ยังได้กำไร
อันดับแรกเลย The Insight ของให้อาจารย์วิเคราะห์แนวโน้วของคดีชั้น 14 ซึ่ง “รศ.ดร.ธนพร” บอกว่ามันมีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง
“ถ้ากลับมาก็แปลว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็พร้อมที่จะรับอยู่แล้ว แต่ว่าการพร้อมที่จะรับเนี่ย มันก็อยู่บนการประเมินสถานการณ์ว่า ต่อให้เลวร้ายที่สุดก็ยังได้กำไร
“ผมเรียนอย่างนี้นะครับ วันที่ 9 กันยายน ผลการตัดสินมันก็โอกาสออกได้ทั้ง 2 หน้า หน้าที่ 1 ถ้ารอดก็รอดเลย ซึ่งอันนี้หมายถึงส่วนตัวนายใหญ่เท่านั้น ลูกน้องก็ติดคุกแน่นอน
“ส่วนหน้าที่ 2 ถ้าเกิดไม่รอด มันก็จะเริ่มจากเข้าเรือนจำ จากนั้นก็ติดกำไล EM ตามระเบียบ ซึ่งมันเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องขังอยู่แล้ว
“ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมากระแสสังคมไปให้ความสนใจกับการจัดตั้งรัฐบาล แต่ทีมงานคนสำคัญของนายใหญ่ เขาเข้าไปดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเรียบร้อยแล้ว
“เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นว่า ถ้าเป็นสถานการณ์ร้าย นายใหญ่ก็ยังได้กำไร เรียกน้ำตาจากแฟนคลับ คนที่จะหันไปชอบพรรคอื่นก็จะกลับมา รับรองว่าคนเสื้อแดงเต็มหน้าศาล เพราะเกมเรื่องมวลชน มันเป็นท่าถนัดของนายใหญ่
2. “ทักษิณ” ไม่ตีหมอบ พร้อมสู้ต่ออย่างสุดซอย
“รศ.ดร.ธนพร แสดงความคิดเห็นว่า ถึงแม้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า “เพื่อไทย” อาจได้ สส. ลดน้อย แต่ตัวเลขก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีความสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
“ทางการเมืองสิ่งที่เพื่อไทยได้มา 11 ล้านเสียง มันจะสูญสลายภายในวันเดียว ไม่มีทางหรอกครับ ขนาดโดนปฏิวัติยึดอำนาจ โดนยึดทรัพย์ คะแนนผู้สนับสนุนก็ยังคงรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แฟนพันธุ์แท้ก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นต้นทุนตรงนี้ มันจะไม่สลายได้ในเร็ววัน จึงไม่มีเหตุอะไรที่นายใหญ่จะต้องถอย
“คาดการณ์กันได้เลย เลือกตั้งครั้งหน้ามันไม่มีพรรคไหนหรอกได้เกิน 250 เสียง มันเป็นรัฐบาลผสมอยู่แล้ว
แม้จำนวน สส. พรรคเพื่อไทยต้องลดลงแน่ๆ จากคลิปอังเคิล แต่มันไม่มีทางหรอกครับ จาก 140 เสียง จะกลายเป็นพรรคต่ำสิบ ไม่มีทาง
“ต่อให้เหลือ 50 เสียง ก็อาจจะดีกับเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป เพื่อไทยก็อาจเล่นบทเป็นพรรคตัวแปร นายใหญ่ก็มีฤทธิ์มีเดชได้อีก
“ดังนั้นผมไม่เห็นว่านายใหญ่จะต้องไปตีหมอบเรื่องอะไร รอบนี้ก็ไม่ได้ถูกยึดทรัพย์ ไม่ได้ถูกปฏิวัติ มันจึงไม่มีอะไรที่จะขวางทางเขาได้ แล้วเขาจะตีหมอบไปทำไม
3. จับตาการออกหมัดของนายใหญ่
ส่วนการต่อสู้ขอพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้กลายเป็นฝ่ายค้าน ก็ยังมีขุมกำลังที่มากพอ ที่สามารถสร้างความระส่ำให้กับรัฐบาลได้ไม่น้อย
“เรื่องที่ 1 เพื่อไทยจะเดินเกมนิติสงครามแน่นอน จะด้วยวิธีอะไรก็แล้ว ถ้าเข้าทางเมื่อไหร่ก็โดน เรื่องที่ 2 เดี๋ยวเราก็ได้เห็นการตั้งรัฐบาล ถ้า ครม.หน้าตาขี้เหร่ พรรคเพื่อไทยก็จะเล่นคืน แบบที่นายกฯ เศรษฐาเคยโดน
“เรื่องที่ 3 การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งพรรคส้มก็ชวนแล้วว่าให้มาเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน เรื่องที่ 4 ผมขอยืนยันว่า ในบรรดาพรรคการเมืองที่มีอยู่ ไม่มีพรรคไหนเก่งเรื่องมวลชนจัดตั้งอย่างเป็นระบบเท่ากับพรรคเพื่อไทย
“แต่จุดที่นายใหญ่จะต้องตัดสินใจคือว่าคนที่จะออกหน้ามานำพรรค จะเป็นสายเลือดตัวเองซึ่งยังมีอยู่อีก 2 คน(พานทองแท้ ชินวัตร กับ พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์) หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นคนนอกนำพรรคในการต่อสู้
“ขณะเดียวกันถ้าเอาคนอื่นมานำ อย่าง คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จะมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ หรือให้บ้านใหญ่ที่ยังอยู่ มาเป็นเลขาธิการการพรรค อย่างบ้านใหญ่โรงแป้งโคราช จะมามีบทบาทในฐานะผู้บริหารพรรคหรือไม่
“เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าบุคลากรในพรรคเพื่อไทยยังมีอีกมาก ยังมีทางเลือกที่จะสู้ในทางการเมืองอีกเยอะครับ
“แต่ใครที่บอกว่านายใหญ่ตีหมอบราบคาบแล้ว ไม่เอาแล้วจ้า เข็ดแล้วจ้า รู้จักนายใหญ่น้อยไป เพราะว่าคนมีเงินเป็นแสนล้าน แต่ถ้าไม่ได้เข้าสู่อำนาจรัฐ ก็แค่เศรษฐีคนหนึ่ง แต่ถ้าจะเป็นทั้งเศรษฐีที่มีตังค์และมีอำนาจรัฐด้วย ก็จะอยู่เหนือเศรษฐีคนอื่นๆ
“เศรษฐีคนอื่นๆ เขาเข้าไม่ถึงอำนาจรัฐ เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นซูเปอร์เศรษฐี ก็ต้องมีทั้งตังค์และต้องมีทั้งอำนาจรัฐ อันนี้คือหลักคิดของแนวการเมืองของนายใหญ่เขาน่ะครับ
4. ความท้าทายของพรรคประชาชน
ส่วน “พรรคประชาชน” อาจารย์ธนพรมองว่า อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่ต้องอาศัยระยะเวลาในระดับหนึ่ง จึงจะประเมินได้ว่า การยกมือให้กับ “อนุทิน” ส่งผลบวกหรือลบ
“การเมืองมันต้องมีรายจ่าย มันไม่มีใครหรอกครับเป็นพระเอกหน้าใสได้ตลอดกาล ทุกคนมันต้องมีบาดแผล ต้องมีริ้วรอยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แล้วผมก็คิดว่าพรรคสีส้มก็ประเมินแล้วว่า ได้ประโยชน์จากการยกมือให้กับคุณอนุทิน
“สีส้มวันนี้ก็เดินหน้าทำงานของเขาไป ก็คือเรื่องการตรวจสอบอย่างเข้มข้น แล้วคุณอนุทินเองก็มีจุดอ่อนเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ยผมคิดว่าพรรคสีส้มก็ไม่ได้เสียหายอะไร อยู่ที่ว่าจะแปลงการทำงานในครั้งนี้ให้เป็นคะแนนเสียงที่เพิ่มขึ้นได้มากแค่ไหน ตรงนี้คือความทาทายที่มากกว่า
“ระหว่างที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล สีส้มเดินหน้าเตรียมการเลือกตั้งไปเยอะแล้ว เช่นการคัดเลือกผู้สมัครอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นผมจึงมองว่าพรรคสีส้มยังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบในการเลือกตั้งมากกว่าทุกพรรค
5. ศ.ดร.บวรศักดิ์ / เอกนิติ และโครงการคนละครึ่ง
อาจารย์ธนพรได้ปิดท้ายการพูดคุย ด้วยการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวางตัว “รัฐมนตรีคนนอก” รวมถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงต้นรัฐบาลอนุทิน ซึ่งถือได้ว่า อยู่ในระดับที่น่าสนใจ
“ผมคิดว่าเรื่องของสัญญาประชาคม คือเมื่อวันก่อนแถลงไป 4 เรื่อง มันขาดเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น MOA ด้วยนะครับ ซึ่งผมจะรอดูช่วงแถลงนโยบาย
“เพราะมีข่าวว่าอาจารย์บวรศักดิ์ (อุวรรณโณ) จะมาเป็นรองนายกฯซึ่งอาจารย์เคยผ่านกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมาหลายยุคหลายสมัย ก็หวังว่านายกฯ อนุทิน หรือรองนายกฯ บวรศักดิ์ จะไม่มาตอบในสภาแค่โรดแมป แต่ต้องลงไปถึงแอ็กชั่นแปลน
“วันนี้เรื่องหน้าตาทีมเศรษฐกิจพอเปิดตัวมาเป็นคุณเอกนิติ (นิติทัณฑ์ประภาศ) ทำให้คุณสิริกัญญา (ตันสกุล) หมองไปเยอะ เพราะคุณสิริกัญญายังไม่เคยทำงานจริง แต่คุณเอกนิติทำงานจริงมาแล้ว เคยเป็นอธิบดีที่ได้รับการยอมรับ เพราะฉะนั้นสีน้ำเงินกำลังเดินหน้า ไปสู่การโชว์ความเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมที่มีประสบการณ์ในการลงมือทำ ไม่ใช่แค่ดีแต่พูด
“ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ การเริ่มต้นด้วยโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ทุกคนเห็นว่าน่าสนใจ เพราะมันเคยได้ผลมาแล้ว
“แต่รอบนี้ 50 – 50 มันยังไม่แรงพอ แล้วมันเป็นแบรนด์ลุงตู่ ถ้าจะให้เป็นแบรนด์ของสีน้ำเงินต้อง 70 – 30 ครับ ซึ่งมันทำได้ ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกไม่มาก 50 – 50 น่ะดีแน่ๆ อยู่แล้ว ซึ่งก็เดินมาถูกทาง แต่คนก็จะไปบอกว่าเดินซ้ำรอยลุงตู่
“เพราะฉะนั้นสีน้ำเงินก็ต้องขยับขึ้นไปอีกนิดนึง เพื่อให้สร้างแบรนด์ของตัวเอง และสอดคล้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ก็ 70 – 30 ไปเลยนะครับ”
หมายเหตุ : สัมภาษณ์ “รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล” ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย วันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 18.00 น.
