วิเคราะห์ผลเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงรายเขต 7 เทียบกับผลโพลของ “สวนดุสิตโพล” หลังจากผู้สมัครจาก “พรรคเพื่อไทย” ชนะผู้สมัครจาก “พรรคประชาชน” อย่างถล่มทลาย
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 การเมืองไทยได้นำเสนอภาพที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ในวันนั้น “สวนดุสิตโพล” ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นระดับชาติที่ชี้ว่า “พรรคประชาชน” ยังคงเป็นพรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทิ้งห่าง “พรรคเพื่อไทย” อยู่พอสมควร แต่ในขณะเดียวกัน ผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงราย เขต 7 กลับปรากฏว่า “พรรคเพื่อไทย” สามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างถล่มทลาย
ปรากฏการณ์ “โพลสวนทาง” นี้ได้สร้างคำถามสำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมแนวโน้มความนิยมในภาพใหญ่จึงไม่สะท้อนออกมาในผลการเลือกตั้งจริงในพื้นที่ ?
บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุของความคลาดเคลื่อนดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นว่าโพลและผลการเลือกตั้งกำลังวัด “คนละสิ่ง” และเปิดเผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง “สงครามกระแส” ในระดับชาติ และ “สงครามจัดตั้ง” ในระดับท้องถิ่น

1. ภาพรวมระดับชาติ: เมื่อกระแสหนุน “พรรคประชาชน”
ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน ได้ฉายภาพความรู้สึกของคนทั้งประเทศไว้อย่างชัดเจน
• “พรรคประชาชน” อันดับ 1 : หากมีการเลือกตั้งในวันี้ “พรรคประชาชน” ได้รับคะแนนนิยมถึง 23.94%
• พรรคเพื่อไทยอยู่อันดับที่ 4 : ในทางกลับกัน “พรรคเพื่อไทย” มีคะแนนนิยมอยู่ที่ 11.61% ตามหลังทั้ง “พรรคภูมิใจไทย” (14.20%) และ “กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ”
• กลุ่มพลังเงียบ: ตัวแปรสำคัญคือกลุ่มผู้ที่ “ยังไม่ตัดสินใจ” ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วนสูงถึง 21.35%
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อน “สงครามกระแส” ที่ “พรรคประชาชน” กำลังเป็นฝ่ายชนะอย่างชัดเจน พวกเขาสามารถครองพื้นที่สื่อ สร้างวาระทางการเมือง และดึงดูดความรู้สึกของประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง และไม่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันได้สำเร็จ ในขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” กำลังเผชิญกับวิกฤตภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในระดับชาติ
2. ความเป็นจริงในพื้นที่: เมื่อ “บ้านใหญ่” ยังคงแข็งแกร่ง
ผลการเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงราย เขต 7 ในวันที่ 14 กันยายน ได้ให้ภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
• เพื่อไทยชนะขาดลอย: “สง่า พรมเมือง” ผู้สมัครจาก “พรรคเพื่อไทย” ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงกว่า 45,000 คะแนน
• พรรคประชาชนพ่ายยับ: คู่แข่งจากพรรคประชาชนได้รับคะแนนเสียงไม่ถึง 20,000 คะแนน แพ้ไปกว่าเท่าตัว
• เสียงที่ไม่เลือกใคร: ที่น่าสนใจคือ มีผู้มาใช้สิทธิ์แต่ “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” (Vote No) สูงถึงกว่า 10,000 ใบ
ผลลัพธ์นี้คือภาพสะท้อนของ “สงครามจัดตั้ง” ที่ปัจจัยในระดับท้องถิ่นยังคงมีอิทธิพลอย่างสูง และเป็นสมรภูมิที่ “พรรคเพื่อไทย” ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขายังคงเป็นเจ้าสนาม

3. ทำไมผลลัพธ์จึงสวนทางกัน ?
ความขัดแย้งระหว่าง “โพล” กับ “ผลเลือกตั้งซ่อม” ไม่ได้หมายความว่า ข้อมูลชุดใดชุดหนึ่งผิด แต่เป็นเพราะทั้งสองกำลังวัดพลวัตทางการเมืองคนละมิติกัน สาเหตุหลักสามารถอธิบายได้ดังนี้
3.1. กระแสพรรค ปะทะ บารมีบ้านใหญ่
โพลระดับชาติวัดความนิยมใน “แบรนด์” ของพรรค ซึ่ง “พรรคประชาชน” ทำได้ดีกว่า แต่การเลือกตั้งซ่อมที่เชียงรายเป็นการต่อสู้ใน “ฐานที่มั่น” ของ “พรรคเพื่อไทย” และตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่
ความผูกพันกับตัวบุคคล เครือข่ายอุปถัมภ์ และกลไกหัวคะแนนที่สั่งสมมานาน มักจะมีน้ำหนักมากกว่ากระแสความนิยมในระดับชาติ ที่อาจยังเจาะเข้ามาไม่ถึงรากฐาน
3.2. สงครามกระแส ปะทะ สงครามจัดตั้ง
“พรรคประชาชน” อาจชนะใน “สงครามกระแส” ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และการสร้างวาระระดับชาติ แต่พรรคเพื่อไทยชนะใน “สงครามจัดตั้ง” พวกเขาสามารถระดมสรรพกำลัง ทั้งแกนนำพรรคและทรัพยากรลงไปในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาที่นั่งที่สำคัญนี้ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่โพลระดับชาติไม่สามารถวัดประสิทธิภาพได้
3.3. “ผู้ยังไม่ตัดสินใจ” ในโพล กับ “บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน” ในคูหา
กลุ่ม “ยังไม่ตัดสินใจ” ที่มีสูงถึง 21.35% ในโพล อาจสะท้อนออกมาในรูปแบบของบัตร “ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด” ที่มีจำนวนสูงถึงกว่า 10,000 ใบในสนามเลือกตั้งจริง ตัวเลขนี้คือเสียงของประชาชนที่ไม่พอใจกับตัวเลือกที่มีอยู่จากทั้งสองพรรคใหญ่ และเป็นสัญญาณเตือนว่าแม้ “พรรคเพื่อไทย” จะชนะ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ไว้วางใจพวกเขาเช่นกัน
4. บทสรุป: บทเรียนจากเชียงราย
ปรากฏการณ์ที่เชียงรายได้มอบบทเรียนสำคัญให้กับทุกพรรคการเมือง มันชี้ให้เห็นว่า โพลคือมาตรวัด “ความรู้สึก” แต่การเลือกตั้งคือมาตรวัด “พลัง”
สำหรับ “พรรคประชาชน” บทเรียนคือความนิยมในระดับชาติเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันชัยชนะได้ พวกเขาจำเป็นต้องเร่งสร้างเครือข่ายและกลไกการจัดตั้งในระดับพื้นที่ให้เข้มแข็งกว่านี้ เพื่อแปลง “กระแส” ให้เป็น “คะแนน” ได้อย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” ชัยชนะครั้งนี้อาจเป็นยาชูกำลังในระยะสั้น แต่ก็เป็นสัญญาณอันตรายในระยะยาว การพึ่งพากลไกบ้านใหญ่และฐานที่มั่นเดิมที่นับวันจะเหลือน้อยลง ในขณะที่แบรนด์ของพรรคในระดับชาติกำลังเสื่อมถอย คือความเสี่ยงอย่างยิ่ง พวกเขาชนะศึกที่เชียงราย แต่ยังคงแพ้สงครามความเชื่อมั่นในภาพรวมของประเทศ
ดังนั้น บทเรียนจากเชียงรายจึงภาพสะท้อนที่ชัดเจนของภูมิทัศน์การเมืองไทยที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ซึ่งพลังของกระแสใหม่กำลังปะทะกับพลังของโครงสร้างเก่าอย่างเข้มข้น และผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้… ยังไม่จบลงง่ายๆ

