การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Assessment) เพื่อช่วยให้ไทย “อ่านเกมให้ขาด” จากความไม่สอดคล้องกันระหว่าง คำแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์ กับ คำแถลงของนายกรัฐมนตรีอนุทิน หลังการโทรศัพท์เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
1) ทำไมคำแถลงของทรัมป์กับอนุทิน “ไม่ตรงกัน”
ความไม่สอดคล้องนี้ ไม่ใช่อุบัติเหตุด้านการสื่อสาร แต่สะท้อนว่า
ทั้งสองฝ่าย “พูดกับคนละผู้ฟัง และเล่นเกมคนละกระดาน”
• ฝั่งทรัมป์: สื่อสารเชิงการเมืองส่วนบุคคล (Personalized Politics)
• ฝั่งไทย: สื่อสารเชิงรัฐ (State-based / National Interest)

2) วาระ “ส่วนตัว” ของทรัมป์ต่อกัมพูชา (Trump’s Personal Agendas)
ทรัมป์ไม่ได้มองกัมพูชาในฐานะ “รัฐเอกราชขนาดเล็กในอาเซียน”
แต่เป็นหมากตัวหนึ่งในเกมผลประโยชน์ส่วนตัวและการเมืองภายในสหรัฐ
(1) Narrative ของ “Peace Broker”
ทรัมป์ต้องการภาพว่า
“ผมโทรศัพท์ครั้งเดียว ความขัดแย้งก็ต้องหยุด”
• ใช้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวทีสร้างเครดิตทางการเมือง
• ไม่สนใจความซับซ้อนของ Hybrid Warfare หรือ Grey Zone
(2) Deal-maker Mindset
ทรัมป์มองรัฐเล็ก ๆ เป็น ดีล ไม่ใช่ พันธมิตร
• ไทย = leverage ทางเศรษฐกิจ / การค้า
• กัมพูชา = จุดต่อรอง ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องรับผิด
(3) ไม่สนใจ ฮุน เซน แต่สนใจ “ความเงียบ”
ตราบใดที่:
• ไม่มีข่าวรบหนัก
• ตลาดไม่ผันผวน
• ไม่มีแรงกดดันจากสื่ออเมริกัน
→ ทรัมป์ ไม่แยกแยะว่าใครเป็นฝ่ายยั่วยุ

3) วาระ “เชิงโครงสร้าง” ของสหรัฐต่อกัมพูชา (Actual US Strategic Agendas)
ต่างจากทรัมป์ รัฐสหรัฐ (State Apparatus) มองกัมพูชาแบบ ระยะยาว
(1) China Containment โดยไม่ผลักกัมพูชาออกจากโต๊ะ
• กัมพูชา = จุดยุทธศาสตร์ของจีนในลุ่มน้ำโขง
• ฐานเรือเรียม (Ream Naval Base) คือความกังวลหลัก
• สหรัฐไม่ต้องการให้ไทย “ผลักกัมพูชาไปอยู่กับจีน 100%”
(2) รักษา ASEAN Centrality (ในนาม)
สหรัฐต้องการภาพว่า:
• ไม่เลือกข้าง
• สนับสนุนการเจรจา
• ไม่สนับสนุนการใช้กำลัง
แม้ในทางปฏิบัติจะรู้ดีว่า ฮุน เซน ใช้ Hybrid Warfare
(3) ไทย = Strategic Partner ที่ต้อง “ควบคุมได้”
สหรัฐเชื่อว่า:
• ไทย rational
• ไทยไม่ rogue
• ไทยรับแรงกดดันได้
→ จึงกดดันไทย มากกว่ากัมพูชา
4) จุดอันตรายสำหรับไทย หาก “อ่านทรัมป์ = อ่านสหรัฐ” (นี่คือกับดักเชิงยุทธศาสตร์)
หากไทยคิดว่า… => ความเสี่ยง
ทรัมป์ = นโยบายสหรัฐ => อ่านเกมผิด
หยุดเพื่อเอาใจ => เสีย Deterrence
สหรัฐจะกดเขมร => ไม่มีวันเกิด
ความเงียบ = สันติ => Hybrid Warfare จะหนักขึ้น

5) สิ่งที่ไทยควรทำ: Strategic Mapping & Direction
(1) แยก “Trump Track” กับ “US State Track”
Trump Track:
• รับฟัง
• ไม่ปะทะ
• ไม่ผูกมัด
US State Track (DoS / DoD / Indo-Pacific Command):
• ทำงานเชิงเอกสาร
• ใช้หลักฐาน
• อธิบาย Hybrid Aggression อย่างเป็นระบบ
(2) เปลี่ยนกรอบการพูดจาก “Ceasefire” → “Hybrid De-escalation”
ไทยต้องย้ำว่า:
• ปัญหาไม่ใช่การยิงปะทะอย่างเดียว
• แต่คือ IO , UAV, การยั่วยุพลเรือน , ทุ่นระเบิด , PMC
(3) ไม่ยอมรับ “False Symmetry”
• ไทย = ป้องกันอธิปไตย
• กัมพูชา = ผู้ยั่วยุเชิงระบบ
ต้องทำให้ชัดในทุก Track
(4) ใช้ ASEAN + Multilateral Shield
• ดึงอาเซียน
• ดึง Track II
• ดึง UN mechanisms เฉพาะเรื่อง (mines / civilians / UAV violations)
6) บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์ (Key Takeaway)
ทรัมป์ต้องการภาพ “คนหยุดสงคราม”
สหรัฐต้องการ “ควบคุมดุลอำนาจจีน”
ไทยต้องการ “หยุดการรุกรานแบบ Hybrid โดยไม่เสียอธิปไตย”
สามวาระนี้ ไม่ตรงกัน
ดังนั้น
ไทยต้องไม่เล่นตาม Narrative ของทรัมป์
แต่ต้องออกแบบ Strategy ที่อยู่เหนือการเมืองบุคคล
บทความโดย พลเอก เจิดวุธ คราประยูร

