บทสรุปการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของ “นิด้าโพล” ตลอดปี 2568 ไม่ใช่เรื่องราวของการแข่งกันทำคะแนน แต่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ว่า การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “วิกฤตศรัทธา” ขั้นรุนแรง
เมื่อกางสถิติเทียบตั้งแต่ผลสำรวจครั้งที่ 1 (มี.ค. 68) ถึงครั้งที่ 4 (เผยแพร่วันที่ 14 ธ.ค. 68) พบความผิดปกติของโครงสร้างคะแนนนิยม ที่สะท้อนว่า ตัวเลือกของพรรคการเมืองที่มีอยู่ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอีกต่อไป
1. ภาวะ “สุญญากาศผู้นำ” : เมื่อคนไทยกว่า 40% เทคะแนนให้ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้”
ตัวเลขที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญที่สุดไม่ใช่คะแนนของพรรคใด แต่คือกลุ่มคนที่ระบุว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้”
– สัญญาณการปฏิเสธ : จากผลสำรวจครั้งที่ 2 ที่ตัวเลขกลุ่มนี้เคยลดลงเหลือ 19.88% กลับดีดตัวพุ่งขึ้นสูงถึง 40.60% ในการสำรวจครั้งที่ 4
– นัยทางการเมือง: ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่คนยังไม่ตัดสินใจ แต่คือกลุ่มที่ปฏิเสธตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด สภาวะนี้คือ “หลุมดำ” ทางการเมืองที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนความล้มเหลวของพรรคการเมืองทุกขั้วที่ไม่สามารถเสนอตัวแทนที่จับต้องได้

2. ขาลงของ “ยักษ์ใหญ่” : ความเสื่อมถอยของ พรรคประชาชน และเพื่อไทย
ปี 2568 ในการสำรวจครั้งที่ 4 จบลงด้วยกราฟ “Downtrend” ของสองขั้วอำนาจหลัก ที่สูญเสียโมเมนตัมทางการเมืองไปอย่างชัดเจน
– พรรคประชาชน แผ่วปลาย: ณัฐพงษ์ เรื่องปัญญาวุฒิ เคยทำคะแนนแตะจุดพีคที่ 31.48% ในการสำรวจครั้งที่ 2 แต่กลับร่วงลงเหลือ 17.20% ในการสำรวจ 4 ชี้ให้เห็นว่ากระแสความนิยมกำลังหดตัวลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
– เพื่อไทย วิกฤตพรรค วิกฤตตัวบุคคล : การสำรวจครั้งที่ 1 ในช่วงต้นปี แพทองธาร ชินวัตร เคยครองสัดส่วนสูงถึง 30.90% แต่ในการสำรวจครั้งที่ 4 ตัวแทนพรรคอย่าง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กลับทำได้เพียง 6.28%
และการที่คะแนนพรรคร่วงลงเหลือ 11.04% คือสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดว่า ฐานเสียงหลักกำลังแตกสลาย หรือถ่ายเทไปยังตัวเลือกอื่น ซึ่งต้องจับตาต่อไปว่า หลังจากพรรคได้เปิดชื่อ 3 แคนดิเดตนายกฯ แล้ว ซึ่งได้แก่ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ , สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ คะแนนนิยมของเพื่อไทยจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่

3. การฟื้นคืนชีพของ “อนุรักษ์นิยม”
ในเลือกตั้งปี 2566 ฝั่งเสรีนิยม (ในเวลานั้น) ได้คะแนนเสียงรวมกันอย่างถล่มทลาย ลำพังแค่ 2 พรรคใหญ่ ก้าวไกล (พรรคประชาชน) และเพื่อไทย ได้คะแนนเสียงรวมกันเกือบ 300 เสียง แต่ในการเลือกตั้งปี 2569 อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
– กราฟของ “อนุทิน”: ผลสำรวจครั้งที่ 1 อนุทินมีคนหนุนเพียง 2.85% เขาไต่ระดับขึ้นมาอย่างเงียบๆ จนพีคที่ 20.44% ในการสำรวจครั้งที่ 3 แม้จะปรับฐานลงมาเหลือ 12.32% ในการสำรวจครั้งที่ 4 แต่ก็ถือว่า คะแนนนิยมพุ่งขึ้นกว่าช่วงการเลือกตั้งปี 2566 เป็นอย่างมาก
– เซอร์ไพรส์จาก “อภิสิทธิ์”: นี่คือจุดที่น่าจับตาที่สุด หลังจากอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คะแนนทั้งพรรคและตัวบุคคลกก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ในผลสำรวจครั้งที่ 4 คะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 11.80% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากผลสำรวจครั้งที่ 3 (5.52%) และในผลสำรวจครั้งล่าสุดคะแนนของอภิสิทธิ์ก็พุ่งขึ้นมาอยู่ 10.76% แซงหน้าแคนดิเดตจากเพื่อไทย

4. ฉากทัศน์เลือกตั้งครั้งใหม่
หากแนวโน้มนี้ลากยาวไปจนถึงวันเลือกตั้ง เราอาจได้เห็นปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้
(1) ไม่มีพรรคไหนได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย: คาดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า คะแนนเสียงจะเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย รัฐบาลหน้าจะเป็น “รัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่” ที่เจรจาผลประโยชน์กันดุเดือดยิ่งกว่าเดิม
(2) สงครามแย่งชิงคนเบื่อการเมือง: สนามรบที่แท้จริงไม่ใช่การแย่งคะแนนกันเองระหว่างพรรค แต่คือการแย่งชิงกลุ่มคน 40.60% ที่ยังไม่ตัดสินใจ พรรคไหนมีนโยบายที่ดึงดูดคนกลุ่มนี้ได้ ก็จะเพิ่มคะแนนให้พรรคอย่างพุ่งกระฉูดได้อย่างแน่นอน
(3) การกลับมาของฝั่งอนุรักษ์นิยม: การเติบโตของภูมิใจไทยและการฟื้นตัวของประชาธิปัตย์ ชี้ว่า ประชาชนเริ่มมองหาทางเลือกที่แตกต่างจากการเลือกตั้งปี 2566 (ฝั่งเสรีนิยมชนะถล่มทลาย)
ชวนขบคิดทิ้งท้าย: ตัวเลข 40% ที่บอกว่า “ไม่มีใครเหมาะสม” แท้จริงแล้วคือความสิ้นหวัง หรือคือการรอคอย “ผู้นำคนใหม่” ที่ยังไม่ปรากฏตัว…กันแน่ ?
ที่มา : นิด้าโพล : “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 1 – 4 /2568”

