หากเปรียบเทียบภาพการเมืองกรุงเทพฯ ระหว่างวันแห่งชัยชนะถล่มทลายในเดือนพฤษภาคม 2566 ของพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) กับตัวเลขสถิติจาก “นิด้าโพล” ล่าสุดในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 เรากำลังเห็นภาพสะท้อนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับหนังคนละม้วน
จาก “สมรภูมิแห่งความหวัง” สู่ “สภาวะสุญญากาศทางความเชื่อมั่น” ซึ่งเมื่อนำข้อมูลทั้งในส่วนของนิด้าโพล และผลการเลือกตั้ง ปี 2566 มาวิเคราะห์เจาะลึก จะพบสัญญาณที่น่าขบคิด 4 ประการ ที่บ่งบอกทิศทางลมการเมืองกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี
1. พรรคส้ม เสื่อมมนตร์ขลัง
ผลโพลในครั้งนี้ ระบุว่า อันดับที่ 1 ในหัวข้อ “บุคคลที่คนกรุงเทพฯ จะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ” ได้แก่ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” 47.25 % และในหัวข้อ “พรรคการเมืองที่คนกรุงเทพฯ จะสนับสนุน” ได้แก่ ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ 40.20 %
ซึ่งหากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกวาดที่นั่ง สส. กทม. ได้ถึง 32 จาก 33 เขต พร้อมคะแนนบัญชีรายชื่อกว่า 1.6 ล้านคะแนน คิดเป็นฉันทามติที่ทรงพลัง แต่เมื่อตัดภาพมาที่ธันวาคม 2568 “พรรคประชาชน” (อันดับที่ 2) 26.25 % แม้จะได้อันดับสูงกว่าพรรคอื่น แต่ตัวเลขนี้สะท้อนภาวะ “คะแนนนิยมหดตัว” อย่างมีนัยยะ
– ข้อสังเกต: การที่คะแนนนิยมตัวบุคคล ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (อันดับ 2) อยู่ที่ 16.95 % ซึ่งน้อยกว่าคะแนนพรรค สะท้อนว่าแบรนด์ของพรรคยังแข็งแกร่งกว่าตัวบุคคล แต่โจทย์ใหญ่คือ “มนต์ขลัง” ที่เคยสะกดคนกรุงเทพฯ กำลังจางหายไป

2. “เพื่อไทย” กระแสความนิยมดิ่งลงเหว
“พรรคเพื่อไทย” จากเดิมที่เป็นคู่แข่งหลักอันดับ 2 ในการเลือกตั้งปี 2566 แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยกลับเผชิญวิกฤตศรัทธาในพื้นที่ กทม. อย่างหนัก โดยคะแนนนิยมพรรคร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 (6.85 %) ตามหลังแม้กระทั่งพรรคขั้วอนุรักษ์นิยมเดิม
ข้อสังเกต: การที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคได้รับความนิยมเพียง 2.25 % (จุลพันธ์ อันดับ 6) และ 1.30 % (ยศชนัน อันดับ 10) ในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ อาจเป็นดัชนีชี้วัดความไม่พอใจของชนชั้นกลางในเมืองที่มีต่อผลงานและบทบาทของพรรคเพื่อไทย และเป็นการส่งสัญญาณว่า “ฐานเสียงเดิม” อาจกำลังมองหา “บ้านหลังใหม่”
3. คนกรุงเทพฯ ผิดหวังและเบื่อหน่ายการเมือง
จากผลโพลนี้ แชมป์ตัวจริงคือกลุ่ม “พลังเงียบ” โดยมีคนกรุงเทพฯ เกือบครึ่ง (47.25%) ระบุว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” และ 40.20 % ยังหาพรรคที่เหมาะสมไม่ได้
– ข้อสังเกต: ตัวเลขนี้ไม่ได้แปลว่าคนกรุงเทพฯ ไม่สนใจการเมือง แต่สะท้อนภาวะ “เบื่อหน่ายและผิดหวัง อย่างรุนแรง” พวกเขากำลังส่งสัญญาณว่า “ไม่มีใครในเวลานี้ที่ตอบโจทย์” ซึ่งนี่คือโอกาสทองของพรรคการเมืองใดก็ตามที่สามารถเสนอ “ทางเลือกที่ 3” ที่โดนใจได้จริง

4. การตีตื้นของ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” และตัวแปรใหม่
ในขณะที่กระแสสีส้มแผ่วลงและสีแดงถดถอย “พรรคภูมิใจไทย” (อันดับ 3 / 10.05) และ “ประชาธิปัตย์” (อันดับ 4 / 9.55 %) กลับขยับขึ้นมาเงียบๆ รวมถึงคะแนนนิยมส่วนตัวของผู้นำอย่าง “อนุทิน” (อันดับ 3 / 10.90 %) และ “อภิสิทธิ์” (อันดับ 4 / 9.00 %) ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยยะ
ข้อสังเกต : นี่อาจไม่ใช่การฟื้นตัวเชิงอุดมการณ์แบบถาวร แต่เป็น “หลุมหลบภัยชั่วคราว” ของคนที่ไม่พอใจผลงานของพรรคที่เคยได้ สส. กรุงเทพฯ ในการเลือกตั้งปี 2566 ความนิยมนี้อาจเปราะบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการแข่งขัน
5. กรุงเทพฯ วันนี้… พื้นที่ที่ไร้เจ้าของ ?
ผลโพลล่าสุดนี้ชี้ให้เห็นว่า การเมืองกรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนจาก “สมรภูมิสองขั้ว” มาสู่สภาวะ “ไร้ทิศทาง” อย่างสมบูรณ์ ผู้ชนะที่แท้จริงในวันนี้ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่คือ “ความคาดหวัง” ของประชาชนที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
คำถามสำคัญสำหรับอนาคต คือ ใครจะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ก่อนกัน ท่ามกลางซากปรักหักพังของความเชื่อมั่นนี้
อ้างอิง
นิด้าโพล “กระแสการเมืองกรุงเทพมหานคร” (21 ธ.ค. 68)
กกต. ผลการเลือกตั้งปี 2566

