เมื่อผู้นำพรรคประชาชนเลือกโหนกระแสสงคราม จนเสียจุดยืน โดนถล่มเละทั้งขึ้นทั้งล่อง สัญญาณเตือนภัย เลือกตั้งครั้งหน้า อาจไม่เหมือนเดิม
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การปะทะกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่กำลังกลายเป็น “จุดเปลี่ยนทางการเมือง” ที่ท้าทาย “พรรคประชาชน” อย่างรุนแรง
จากเดิมที่พรรคประชาชนครองพื้นที่สื่อและเป็นผู้นำทางความคิดในสังคมมาโดยตลอด แต่เมื่อ “กระแสชาตินิยม” ถูกจุดติดและลุกลามอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นว่าพรรคกำลังเดินสะดุดขาตัวเอง และข้อเสนอเรื่อง “Endgame ระบอบฮุน เซน เปิด 3 แนวรบ จบปัญหาถาวร” ของคุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็เปรียบเสมือนการโยนฟืนเข้ากองไฟที่กำลังเผาไหม้พรรคเสียเอง

1. การก้าวพลาดของผู้นำพรรค
พรรคประชาชนเติบโตมาด้วยอุดมการณ์เสรีนิยมก้าวหน้า ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเป็นปฏิปักษ์กับแนวคิด “ชาตินิยมแบบทหาร” จุดยืนดั้งเดิมคือการเน้นการทูต ลดบทบาทกองทัพ และตั้งคำถามกับการใช้งบประมาณทหาร
แต่เมื่อสถานการณ์ชายแดนตึงเครียดถึงขีดสุด และฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน ความรู้สึกร่วมของคนในชาติจึงเทไปทางสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารอย่างท่วมท้น จังหวะนี้เองที่ทำให้ณัฐพงษ์ตัดสินใจ “กระโดดเกาะกระแส” ด้วยการโพสต์บทความ Endgame ระบอบฮุน เซน ผ่าน 3 แนวรบ
(1) แนวรบการทหาร: สนับสนุนการใช้กำลัง
(2) แนวรบด้านข่าวสาร: ชี้แจงประชาคมโลก
(3) แนวรบปราบสแกมเมอร์: ตัดท่อน้ำเลี้ยง
ในเชิงยุทธวิธี อาจมองได้ว่า ณัฐพงษ์พยายามแสดงภาวะผู้นำ ว่าพรรคประชาชนก็ “พร้อมรบ” และปกป้องอธิปไตยไม่แพ้พรรคอื่น แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ นี่คือความผิดพลาดที่ทำให้เสียรังวัดทั้งขึ้นทั้งล่อง
2. สภาวะ “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง”
พรรคประชาชนกำลังตกอยู่ในสถานะที่เรียกว่า “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” และถูกโจมตีจากสองฟากฝั่งพร้อมกัน:
ฝั่งฐานเสียงเดิม รู้สึกผิดหวังและสับสน ฐานเสียงกลุ่มนี้คือคนรุ่นใหม่ที่ซื้อไอเดียเรื่องการลดอำนาจทหารและเน้นสันติวิธี การที่คุณณัฐพงษ์ออกมาสนับสนุนแนวทางทหารอย่างชัดเจน ถูกมองว่าเป็นการไม่ซื่อตรงทางอุดมการณ์ เพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้น ทำให้ศรัทธาของ “กลุ่มก้าวหน้าฮาร์ดคอร์” สั่นคลอน
ฝั่งอนุรักษ์นิยมได้ทีขี่แพะไล่ โดยหยิบยกวาทกรรม “ทหารมีไว้ทำไม” ที่อดีตแกนนำพรรคเคยใช้ มาย้อนเกล็ดในวันที่พรรคประชาชนสนับสนุนการใช้กำลังทหาร ข้อเสนอนี้จึงถูกมองด้วยสายตาเย้ยหยันว่าเป็นพวก “มือถือสาก ปากถือศีล” หรือเป็นเพียงการฉวยโอกาสทางการเมือง

3. สัญญาณอันตรายสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับพรรคประชาชนไม่ใช่แค่ดราม่ารายวัน แต่คือ “โครงสร้างคะแนนเสียง” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ชัยชนะถล่มทลายในปี 2566 นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจาก “กระแสล้วนๆ” พรรคประชาชนแทบไม่มี “บ้านใหญ่” หรือระบบอุปถัมภ์ที่คอยค้ำจุนคะแนนในยามที่กระแสพรรคตกต่ำ ต่างจากพรรคคู่แข่งที่มีฐานคะแนนจัดตั้งแน่นหนา ดังนั้นหากสถานการณ์ชายแดนและกระแสชาตินิยมนี้ “ลากยาว” ไปจนถึงวันเลือกตั้ง อาจเกิดฉากทัศน์ดังนี้
(1) พื้นที่กระแสถูกยึดครอง: กระแสชาตินิยมมักเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่มีภาพลักษณ์ผูกพันกับความมั่นคงหรือสถาบันหลัก พรรคประชาชนจะสูญเสียจุดเด่นในการเป็นผู้นำกระแส
(2) ตัวตนที่ขัดแย้ง: หากพรรคประชาชนพยายามแข่งกัน “รักชาติ” แข่งกับพรรคฝ่ายขวา พวกเขาจะดู “ปลอม” ในสายตาประชาชน แต่ถ้ากลับไปจุดยืนเดิมก็ดู “อ่อนแอ”
(3) ความเปราะบางของคะแนน: เมื่อไม่มี “บ้านใหญ่” คอยประคอง หาก “กระแส” หายไป หรือเปลี่ยนทิศทาง โอกาสที่พรรคประชาชนจะรักษาที่นั่ง ส.ส. ให้ได้เท่าการเลือกตั้งปี 2566 จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
4. การเลือกตั้งครั้งใหม่ อาจไม่เหมือนเดิม
บทเรียนจากกรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า พรรคประชาชนยังขาดความนิ่งในการอ่านเกมความมั่นคง และพยายามเล่นกับกระแสสังคมมากเกินไปจนเสียจุดยืน การพยายามเอาใจทุกคนในภาวะวิกฤตที่มีความขัดแย้งสูง สุดท้ายอาจไม่เหลือใครเลยที่ยืนเคียงข้าง โจทย์ใหญ่ของ ณัฐพงษ์ และพรรคประชาชน คือจะกู้ศรัทธาจากฐานเสียงเดิมกลับมาอย่างไร โดยไม่ดูเพิกเฉยต่อความมั่นคงของชาติ เพราะหากปรับจูนเข็มทิศไม่ทัน การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคที่ได้จำนวน สส. เป็นอันดับ 1 อาจไม่ใช่พรรคประชาชน

