ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ วิเคราะห์ศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หมากกระดานนี้ ใครเป็นผู้คุมเกม
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แกะสมการอำนาจ เพื่อแสดงให้ภาพอย่างชัดเจนว่า หมากกระดานนี้ ใครเป็นผู้คุมเกม ดังต่อไปนี้
อีกไม่นาน พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทยอย่างพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เวลาเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่เข้ามาแทนที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ที่เพิ่งประกาศลาออกไป ท่ามกลางสถานการณ์ที่คะแนนนิยมของพรรคอยู่ในช่วงขาลง คำถามที่น่าสนใจที่สุดไม่ใช่แค่ “ใครจะลงชิงตำแหน่ง” แต่คือ “ใครคือผู้คุมเกมตัวจริง” ในศึกครั้งนี้
1. แกะสมการอำนาจ: เมื่อ “โหวตเตอร์” มีค่าไม่เท่ากัน
หากมองดูเผินๆ การเลือกตั้งก็คือการโหวต แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ “เสียง” ของแต่ละคนมีน้ำหนักไม่เท่ากัน โดยข้อบังคับพรรคได้แบ่งโหวตเตอร์ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ

- กลุ่ม สส. ปัจจุบัน
กลุ่มนี้คือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง แม้จะมีเพียง 25 คน แต่กลับถือคะแนนเสียงในมือไว้สูงถึง 40% ของทั้งหมด นั่นหมายความว่าเสียงของ สส. เพียง 1 คน มีค่ามหาศาลถึง 1.6% ใครก็ตามที่สามารถกุมเสียง สส. ส่วนใหญ่ไว้ได้ ก็แทบจะการันตีชัยชนะไปกว่าครึ่ง
- กลุ่มกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)
กลุ่มผู้มีอิทธิพลรองลงมา มีคะแนนในสัดส่วน 20% ปัจจุบัน กก.บห. ที่ไม่ได้เป็น สส. มีอยู่ 24 คน ทำให้เสียงของแต่ละคนมีค่าประมาณ 0.83%
- กลุ่มโหวตเตอร์อื่น
ประกอบด้วยอดีตหัวหน้าพรรค, อดีต สส., รัฐมนตรี, ตัวแทนสาขาพรรค และอื่นๆ แม้จะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด (ไม่น้อยกว่า 201 คน) และถือคะแนนรวมถึง 40% แต่เมื่อหารเฉลี่ยแล้ว เสียงของแต่ละคนในกลุ่มนี้กลับมีน้ำหนักเพียง 0.20% หรือน้อยกว่านั้น
เมื่อนำโครงสร้างนี้มาวิเคราะห์ จะเห็นภาพชัดเจนว่า กลุ่ม ส.ส. และ กก.บห. ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” คือผู้ชี้ขาดอย่างแท้จริง เพราะทั้งสองกลุ่มนี้มีคะแนนเสียงรวมกันสูงถึง 60%
2. สูตรสำเร็จสู่ชัยชนะ: คณิตศาสตร์การเมืองที่เรียบง่าย
จากโครงสร้างคะแนนเสียง ทำให้เกิด “สมการชนะเลือกตั้ง” ที่ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ หากผู้สมัครคนใดได้รับการสนับสนุนจาก สส. เพียง 21 คน** (คิดเป็น 33.6%) และ กก.บห. อีก 20 คน (คิดเป็น 16.60%)
เมื่อรวมคะแนนกันแล้วจะได้ 50.20% ซึ่งเพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้งได้ทันที! นี่คือเหตุผลที่ทำให้แคนดิเดตที่ “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” หนุนหลังมีความได้เปรียบอย่างมหาศาล
3. ทางที่แทบจะปิดตายของ “คนนอก”
สำหรับผู้สมัครที่ไม่ได้มาจากขั้วอำนาจปัจจุบัน หนทางสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคดูจะยากลำบากอย่างยิ่ง การจะเอาชนะได้นั้นเปรียบเสมือนการ “แหวกวงล้อม” ที่ต้องอาศัยสูตรคณิตศาสตร์การเมืองที่ซับซ้อนกว่ามาก คือ
- เจาะฐานเสียง สส. : ต้องดึงเสียง สส. มาให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แค่ 4 คนยังไม่เพียงพอ
- แหกค่าย กก.บห. : ต้องมีเครือข่ายที่สามารถโน้มน้าวให้ กก.บห. ยอมเปลี่ยนใจมาสนับสนุน
- กวาดคะแนนเสียงจากกลุ่มอื่น : ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์กลุ่มที่สามให้ได้มากที่สุด อย่างน้อย 30-35% จากทั้งหมด 40% ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
4. บทสรุป: ประชาธิปัตย์บนทางสองแพร่ง
สุดท้ายแล้ว อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในมือของ “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” หากพวกเขามองเห็นว่าพรรคกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน และเลือกที่จะเปิดทางให้ “คนนอก” เข้ามาเป็นผู้นำคนใหม่ เพื่อสร้างการยอมรับและเรียกศรัทธากลับคืนมา พรรคก็อาจจะมีอนาคตที่สดใสขึ้น
แต่หากขั้วอำนาจปัจจุบันยังคงจับมือกันเหนียวแน่นเพื่อรักษาอำนาจไว้ ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ก็แทบจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
คำถามสุดท้ายจึงย้อนกลับไปที่ “โหวตเตอร์ทุกคน” ว่าการลงคะแนนเสียงครั้งนี้ พวกเขาจะเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อรักษา “อำนาจของบางกลุ่ม” หรือเพื่อ “อนาคตส่วนรวม” ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างแท้จริง?
ที่มา ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์

