The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / BUSINESS / การปรับตัวที่ไม่ปรับราคา แต่พัฒนาดีไซน์ Häagen-Dazs พรีเมียมไอศกรีม
BRANDINGBUSINESS

การปรับตัวที่ไม่ปรับราคา แต่พัฒนาดีไซน์ Häagen-Dazs พรีเมียมไอศกรีม

ระวี ตะวันธรงค์
Last updated: 10 พ.ย. 2023 13:06
ระวี ตะวันธรงค์
Share
SHARE

Häagen-Dazs (ฮาเก้น-ดาส) แบรนด์ไอศกรีมแสนอร่อย ราคาแพง สัญชาติอเมริกัน ที่มีชื่อราวกับภาษาเดนมาร์ก พัฒนารสชาติมาจากสูตรอิตาเลียน ก่อตั้งโดยผู้อพยพจากยุโรปตะวันออกที่มีต้นกำเนิดจากชาวยิว คือส่วนผสมอันหลากหลายของแบรนด์ไอศกรีมชื่อก้องโลกที่มีเรื่องความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างทางในการปลุกปั้นแบรนด์ที่ล้วนต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ถูกบังคับให้เปลี่ยน รวมถึงต้องเปลี่ยนตัวเองก่อนที่จะเลือนหายไปตามกาลเวลาอีกหลายระลอก

Contents
  • จากผู้อพยพสู่ผู้สร้างปรากฏการณ์
  • สู้กับตลาด ด้วยการเปลี่ยนแปลง
  • อัตลักษณ์ที่เพิ่งสร้าง กับชื่อแบรนด์แหกขนบ
  • สลักเสลาความเคลื่อนไหวในสังคม แล้วจับกลุ่มลูกค้า 
  • เปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า

The Modernist จะพาไปถอดเกร็ดแบรนด์ไอศกรีมที่ประกาศตัวว่าจะขายในราคาแพง ท่ามกลางผู้เล่นในตลาดยุคก่อนที่เน้นขายราคาถูก สิ่งที่ตามมาคือกลยุทธ์หมัดเด็ดอันแสนจะแพรวพราวที่ผู้ก่อตั้งงัดขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจับกระแสสังคมแล้วสะกัดออกมาเป็นกลุ่มลูกค้า หรือการคิดชื่อแบรนด์ที่ไม่มีใครเหมือน จนสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจของสหรัฐฯ อยู่พักใหญ่ ๆ 

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

Toggle
  • จากผู้อพยพสู่ผู้สร้างปรากฏการณ์
  • สู้กับตลาด ด้วยการเปลี่ยนแปลง
  • อัตลักษณ์ที่เพิ่งสร้าง กับชื่อแบรนด์แหกขนบ
  • สลักเสลาความเคลื่อนไหวในสังคม แล้วจับกลุ่มลูกค้า 
  • เปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า

จากผู้อพยพสู่ผู้สร้างปรากฏการณ์

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คาบเกี่ยวกับต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่สหรัฐอเมริกาเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม และการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศเกิดใหม่แห่งนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและร่ำรวยขึ้นมา  โดยในช่วงปี 1880-1920 มีผู้อพยพเข้ามาแสวงหาโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวในสหรัฐฯ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นจำนวนมากถึง 20 ล้านคน กระจายอยู่ตามเมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีอีกปัจจัยหนึ่งคือการถือกำเนิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ทำให้ชาวยุโรปหลั่งไหลกันเข้ามาเป็นจำนวนมาก 

รูเบน แมตทัส (Reuben Mattus) ก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากพ่อเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 แม่ได้พารูเบนในวัย 10 ขวบ อพยพจากยุโรปตะวันออกมาสู่สหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1920 ทั้งคู่ทำงานในบริษัทไอศกรีมของญาติสนิทที่ตั้งอยู่ในมหานครนิวยอร์ก โดยรูเบนรับหน้าที่คั้นน้ำมะนาวที่เป็นส่วนผสมของไอศกรีม และจัดส่งไอศกรีมและแซนด์วิช ด้วยเกวียนลากม้าไปวางขายตามร้านค้า รวมถึงร้านอาหารเล็ก ๆ ในละแวกบ้าน และด้วยความมัธยัสถ์และอุตสาหะ แม่ของรูเบน สามารถเปิดกิจการไอศกรีมเป็นของตัวเองได้สำเร็จ 
ขณะที่ธุรกิจครอบครัว แมตทัส ดำเนินกิจการต่อไป วันเวลาก็พาให้ รูเบน เติบโตขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม เขาได้พบรักกับ โรส วีเซล (Rose Vesel) ราว ๆ กลางทศวรรษที่ 1930 โรส เป็นผู้อพยพจากสหราชอาณาจักร ที่พ่อแม่ได้พามาตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐฯ หลังจากเกิดสงครามอิสรภาพไอร์แลนด์ โดยทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี 1934 และต่อมา โรส นี่เองที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่พาให้แบรนด์ไอศกรีมของรูเบน ซึ่งได้รับความนิยมในระดับท้องถิ่นให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ

สู้กับตลาด ด้วยการเปลี่ยนแปลง

กิจการของครอบครัว แมตทัส ดำเนินมาด้วยดี จนกระทั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดผู้เล่นหลายใหญ่เป็นจำนวนมากเข้ามาเล่นในตลาดไอศกรีม โดยใช้การระบบอุตสากรรมเข้ามาใช้ในการผลิตทำให้สามารถจัดจำหน่ายไอศกรีมออกมาได้เป็นจำนวนมากและขายได้ในราคาถูก หลายเจ้ากระจายสินค้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ประกอบกับทศวรรษ 1950 เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่าตู้เย็นขึ้นมา ทำให้ช่องทางการขายไอศกรีมมีมากขึ้น เพียงแค่กระจายสินค้าไปตามร้านรวงต่าง ๆ สิ่งนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจของแม่ลูกคู่นี้เป็นอย่างมาก ต่างคนต่างรู้ดีกว่าการค้าขายโดยอาศัยเพียงเน้นสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและการขายตรงผ่านหน้าร้านเพียงอย่างเดียวใช้ไม่ได้อีกต่อไป แต่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีทำธุรกิจของทั้งคู่กลับมองต่างกัน  รูเบน มองว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการปรับให้ไอศกรีมของครอบครัวกลายเป็นของดีมีระดับและคุณภาพสูง นั่นหมายความว่าบริษัทต้องลงทุนเทคโนโลยีการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไอศกรีมออกมามากขึ้น เช่นเดียวสูตรไอศกรีมและวัตถุดิบที่ใช้ที่ต้องสังคายนาใหม่ทั้งหมด  ด้วยการหันมาใช้ของที่มีคุณภาพสูงกว่าแต่ก่อน เมื่อแผนการปรับเปลี่ยนธุรกิจมาถึงมือแม่ของเขา ทุกอย่างกลับถูกปัดตกลง โดยมองว่าการความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวกำลังเผชิญจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดเดียวกันในขณะนี้ บริษัทต้องหันมาผลิตสินค้าอย่างอื่นเพื่อให้มีความหลากหลายมากขึ้นแทน 

ความไม่ลงรอยในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจระหว่างแม่กับลูกคู่นี้ กินระยะเวลายาวนานร่วมหนึ่งทศวรรษเลยทีเดียวถึงจะหาทางประนีประนอมกันได้ อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยเร่งที่ทำให้กิจการของครอบครัว แมตทัส ต้องเปลี่ยนคือปัจจัยภายนอกที่ตลาดไอศกรีมกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด ธุรกิจรายย่อย ย่อมอ่วมอรทัยไปตาม ๆ กัน 

ด้วยสภาวการณ์เช่นนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ รูเบน ยังตัดสินใจพาธุรกิจไปต่อ โดยไม่ยอมแพ้ ทั้งที่เจอกับปัจจัยภายนอกที่บีบคั้นและปัจจัยภายในอย่างความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของคนในครอบครัว นั่นก็คือความหลงใหลและความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างหมดใจ กลายไปขุมพลังที่คุกรุ่นอยู่ภายในตัวเขาให้พยายามเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เขาต้องประคองบริษัทและหาสมดุลให้กับความคิดที่ไม่ตรงกันระหว่างเขากับแม่ รูเบนได้ใช้เวลาปลีกตัวในการทดลองสูตรไอศกรีมใหม่ ๆ ประหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่หมกตัวอยู่ในห้องทดลอง เขาเริ่มเล่นแร่แปรธาตุวัตถุดิบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตเตอร์มิลค์ในสัดส่วนที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้เนื้อครีมที่มีความเข้มข้น เพิ่มไข่แดงสด และใช้สารปรุงแต่งที่ซับซ้อนให้กับไอศกรีมของเขา รวมไปถึงใช้ช็อกโกแลตจากเบลเยียม วานิลลาจากมาดากัสการ์ และเมล็ดกาแฟจากโคลอมเบีย อย่างไรก็ดีความพยายามในการรังสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา เขายังคงไม่ทิ้งสูตรเดิมของต้นตระกูลที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับไอศกรีมของเขา 

นอกจากนี้ รูเบน ยังวางแผนการตลาดอย่างจริงจัง โดยเน้นจับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม พร้อมกับมุ่งสร้างแบรนด์ไอศกรีมให้แข็งแกร่ง  โดยวางตำแหน่งแห่งที่ของแบรนด์ให้อยู่ระดับพรีเมี่ยม วางขายในราคาแพง ท่ามกลางตลาดไอศกรีมที่คุณภาพแปรเปลี่ยนไปตามราคาที่ถูกลง 

อัตลักษณ์ที่เพิ่งสร้าง กับชื่อแบรนด์แหกขนบ

“ถ้าคุณเป็นเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่บอกว่าคุณกำลังจะตายแล้ว” รูเบน แมตทัส ได้กล่าวประโยคนี้ไว้ครั้งหนึ่งเมื่อถูกถามถึงเคล็ดลับในการทำธุรกิจ

คำกล่าวนี้คงจะไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปตลอดเวลาที่ รูเบน เข้ามาทำธุรกิจไอศกรีม เขาพยายามเป็นอย่างมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาเพราะความบังเอิญ แต่มาจากการทดลองแล้วทดลองอีก และถูกคิดมาอย่างเป็นระบบ สิ่งที่เห็นได้ชัดสุด ๆ ก็คือการคิดชื่อแบรนด์ ‘Häagen-Dazs’ ซึ่งเป็นชื่อที่รูเบนและโรส ภรรยาของเขาช่วยกันระดมความคิดโดยมีโจทย์ว่าอยากให้ชื่อแบรนด์สินค้าเป็นชื่อที่ดูราวกับเป็นสินค้านำเข้ามาจากต่างประเทศมายังสหรัฐฯ เนื่องจากในห้วงเวลานั้นชาวอเมริกันมองว่าสินค้าที่มาจากประเทศอื่นล้วนดีกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศตัวเอง และพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ทั้งสองจึงตัดสินใจใช้ภาษาเดนมาร์ก จนออกมาเป็นชื่อ Häagen-Dazs พร้อมกับใส่สัญลักษณ์ 2 จุดอยู่เหนือตัว a สระตัวแรกของคำ เพื่อให้ดูแปลกตา แม้ว่าเครื่องหมายนี้จะไม่มีอยู่ในภาษาเดนมาร์กแต่อย่างใด และคำ ๆ นี้ยังไม่ได้มีความหมายอีกด้วย

อีกนัยหนึ่งชื่อดังกล่าวถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้กับชาวเดนมาร์ก ที่เคยให้ความช่วยเหลือชาวยิวอพยพออกจากยุโรปในช่วงที่นาซีกำลังเรืองอำนาจ สำหรับบรรจุภัณฑ์ได้นำแผนที่สแกนดิเนเวียมาใช้ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ดูเป็นสินค้าจากยุโรปมากขึ้น และทุกวันนี้ก็ยังมีชาวอเมริกันบางส่วนที่ยังคงเข้าใจว่า Häagen-Dazs เป็นไอศกรีมนำเข้ามาจากประเทศใดประเทศหนึ่งจากสแกนดิเนเวีย 

ทั้งนี้มีเรื่องขำขันเกิดขึ้นในช่วงที่แบรนด์ Häagen-Dazs ติดตลาด ทำให้สินค้าในสหรัฐฯ ตอนนั้นแห่พากันตั้งชื่อแบรนด์ให้เป็นภาษาต่างประเทศอย่างแพร่หลาย บางอย่างพ่วงชื่อประเทศในแทบยุโรปต่อท้ายแบบดื้อ ๆ เช่น วาฟเฟิลเบลเยียม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าก็มี 

สลักเสลาความเคลื่อนไหวในสังคม แล้วจับกลุ่มลูกค้า 

จากคำบอกเล่าของรูเบน แมตทัส เขากล่าวว่า โรส เป็นคนที่มีหัวการค้าและเป็นนักการตลาดตัวยง เมื่อได้ไอศกรีมรสชาติมีเอกลักษณ์ และมีชื่อแบรน์สะดุดตาแล้ว โรส ได้กระจายไอศกรีม Häagen-Dazs ไปยังร้านค้าทั่วเมือง แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ Häagen-Dazs กลายเป็นสินค้ายอดนิยม โรสจับแสสังคมในช่วงต้นทศวรรษ 60 ได้ว่าวัฒนธรรมฮิปปี้เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ มองไม่เห็น ไม่เพียงแต่ในแวดวงธุรกิจไอศกรีมด้วยกันเท่านั้น โรส จึงรีบบุกตลาดคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ ด้วยการการกระจายไอศกรีม Häagen-Dazs ไปยังเมืองมหาวิทยาลัย (college towns) ทั่วสหรัฐฯ 
“เราพบตลาดทางเลือกที่กำลังบูมในยุค 60 เป็นกลุ่มคนไว้ผมยาว รสนิยมสูง และกำลังมองหาขนมที่เอาไว้กินขณะสูบกัญชา” คำพูดของ โรส แมตทัส ที่ปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกของดอริส ลูกสาวของโรสและรูเบนระบุไว้

จากความรื่นรมย์ในเฉพาะกลุ่มบุปผาชน ความนิยมได้แพร่กระจายไปยังวงกว้างอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสปากต่อปาก โดยที่บริษัทไม่ได้เสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่เหรียญฯ เดียว ทำให้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1970 Häagen-Dazs ได้ผงาดขึ้นมาเป็นแบรนด์ไอศกรีมระดับไฮเอนด์แบรนด์เดียวที่ทำกำไรมากที่สุดในสหรัฐฯ 

ต่อมาในปี 1983 ถือเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของไอศกรีมแบรนด์หรูนี้ แต่ด้วยวัยของ รูเบน และ โรส แมตทัส ที่ก้าวเข้าสู่ 70 กว่าปี ทั้งคู่ต้องการที่จะล้างมือในอ่างทองคำ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในปั้นปลายกับคนในครอบครัวอย่างสงบ จึงตัดสินใจขาย Häagen-Dazs ให้กับบริษัท Pillsbury ผู้ผลิตธัญพืชและอาหารรายใหญ่ ในราคา 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย รูเบน ได้จากไปอย่างสงบในปี 1994 ส่วน โรส เสียชีวิตในปี 2004 ไม่นานหลังจากครบรอบวันเกิดอายุ 90 ปีของเธอไป

ปัจจุบัน Häagen-Dazs ตกเป็นของบริษัท General Mills และมีการจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทไอศกรีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก 

เปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า

Häagen-Dazs เป็นแบรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งถูกตลาดบีบให้เปลี่ยน รวมไปถึงเปลี่ยนตัวเองเพื่อพัฒนาแบรนด์ แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาสู่ศตวรรษที่ 21 ไอศกรีมแบรนด์หรูนี้ก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกระลอก ในปี 2017 บริษัทต้องรีแบรนด์ใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนความคลาสสิกให้เป็นความทันสมัย เพื่อทำให้ไอศกรีมเข้าถึงง่ายขึ้น  เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่ม Millenials 

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะ Häagen-Dazs ไม่ได้ทำการตลาดด้วยการลดราคาลงแต่อย่างใด แต่ยังคงวางตัวเองเป็นไอศกรีมราคาระดับพรีเมี่ยม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ Häagen-Dazs ได้เชิญศิลปินที่มีฝีมือเป็นเอกลักษณ์จากทั่วโลก มาออกแบบกราฟิกแพคเกจจิ้งใหม่ โดยแต่ละคนจะต้องลองชิมไอศกรีมทั้ง 46 รสชาติก่อน เพื่อออกแบบภาพประกอบที่จะนำมาใช้ในบรรจุภัณฑ์ในสไตล์ของตนเอง อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนเฉดสีของโลโก้ ขณะเดียวกันการรีแบรนด์ที่เกิดขึ้นนี้ Häagen-Dazs ยังคงที่จะชูมรดกความเป็นมาของแบรนด์ที่รูเบนกับโรส แมตทัส ได้สร้างเอาไว้ 

เจนนิเฟอร์ ยอร์เกนเซ่น (Jennifer Jorgensen)  รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Häagen-Dazs ให้สัมภาษณ์กับ US Business Insider ว่าปัจจุบันนิยามของความหรูหรากำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคไม่ได้กินเพื่ออวดอีกต่อไป แต่เป็นการเลือกซื้อเพราะความน่าเชื่อถือ และเรื่องราวที่อยู่หลังแบรนด์ อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้กับผู้บริโภคด้วยมาตรฐานของรสชาติและการผลิตที่ใช้คุณภาพสูง ซึ่งหากแบรนด์ไม่สามารถทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเข้าถึงได้ อาจสร้างความเสียหายให้กับอัตราการเติบโตของแบรนด์ให้ชะลอลงไปนานถึง 30 ปี เลยทีเดียว

ปั้นแบรนด์ให้แข็งฉบับ Häagen-Dazs 

1.วางตำแหน่งทางการตลาดให้แคบเข้าไว้  

เรื่องนี้สำคัญมาก ต้องหาลูกค้าเฉพาะกลุ่มให้เจอ ดังที่ รูเบน เลือกที่จะเจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในช่วงแรก  การเลือกเจาะกลุ่มตลาดบุปผาชนในช่วงต้นทศวรรษที่ 60 ของโรส หรืออย่างการปรับตัวล่าสุดของ Häagen-Dazs ที่หันมาจับกลุ่ม Millenials เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาว ต้องหันมาเน้นลงทุนในการกระตุ้นยอดขายและกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ในตลาดเพื่อความอยู่รอดแทน

2.อย่าลืมตัวตน หากคิดจะรีแบรนด์ 

การสร้างแบรนด์มักจะเริ่มต้นจากตัวผลิตภัณฑ์เสมอ ส่วนการรีแบรนด์มักจะเริ่มจากการวิเคราะห์ตลาดและการดำเนินงานทางธุรกิจ เมื่อต้องการที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ต้องดึงเอาจุดเด่นของแบรนด์ที่มีอยู่เดิมออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น สโลแกน เรื่องราวที่มาของแบรนด์ รวมไปถึงไอเดียบางอย่างที่หลงลืมไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนที่สามารถนำไปพัฒนาต่อได้ และหากผู้บริหารหรือฝ่ายการตลาดหลงลืมปัจจัยนี้ไป แบรนด์นั้น ๆ ก็จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีอีกต่อไป

3.รักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสักทีครั้ง การดำเนินธุรกิจต้องรักษาและเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อแบรนด์ที่พัฒนามาตลอดหลายปี ซึ่งจะช่วยให้สามารถกระชับความสัมพันธ์ที่สร้างไว้กับลูกค้าในปัจจุบัน และยังมีอิทธิพลต่อการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ด้วยสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดนั่นก็คือการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับลูกค้า 

กรณีของ Häagen-Dazs คือคำพูดของ รูเบน แมตทัส ที่ประกาศก้องว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไอศกรีมต้องมีรสชาติที่ดี” ซึ่งเขาได้พัฒนารสชาติที่เป็นเรือธงของแบรนด์ไว้ 3 รส ได้แก่ วานิลลา ช็อกโกแลต และกาแฟ ด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้คือไอศกรีมต้องมีส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงสุดในทุก ๆ ถ้วย แม้ว่าในกาลต่อมาจะมีการเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์อีกหลายรอบ แต่หลักการที่เป็นพื้นฐานอย่างวัตถุดิบที่มีคุณภาพยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

การเดินทางของแบรนด์ Häagen-Dazs และการต่อสู้ของผู้ก่อตั้งดูราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ต้องประสบพบเจอการเปลี่ยนแปลงมากมาย การต่อสู้ทางความคิดระหว่างคนในครอบครัว ความล้มเหลวหลายครั้งต่อหลายครั้งในการทดลองสูตรไอศกรีมนานหลายปี รวมไปถึงแรงขับที่มาจากความรักในสิ่งที่ตนลุ่มหลงอย่างสุดหัวใจ อย่าง ไอศกรีม ทำให้ Häagen-Dazs เป็นตัวละครหนึ่งในโลกธุรกิจที่มีสีสันและน่าค้นหาไม่ว่าเราจะกลับมาสำรวจกันกี่ครั้งก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่หลายครั้งเมื่อย้อนกลับไปมอง ก็พบว่าเงาแห่งอดีตกาลในบางโมงยามก็ย้อนกลับมาทาบทับกับปัจจุบัน

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
TAGGED:BrandingBrandStorybusinessChangeMakergrowthHäagenDazsRebrandThe Modernistธุรกิจรีแบรนด์แบรนด์ไอศกรีม
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article “รัฐบาลหุ่นเชิด” รัฐที่ไม่เกิดความชัดเจน
Next Article “Music Shaming” คืออะไร ? รสนิยมการฟังเพลงที่ไม่ควรถูกเหยียด
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

Editor

จาก “ซอยจุ๊” สู่ “อึ่งไข่”  อาหารการกินกับสายธารการเมืองร่วมสมัย

By adisak.mha
Editor

รวมแหล่งสาดความสุข สนุกทั่วไทย เนื่องในวัน “สงกรานต์ 2566”

By ระวี ตะวันธรงค์
Editor

To be fair, It’s BOOK FAIR (?) เมื่องานหนังสือมี “แฟนไซน์” แทรก ความสำคัญแรกอยู่ไหน?

By adisak.mha
Editor

‘Heavy’ นิทรรศการภาพถ่ายที่ ‘น้อยแต่มาก-หนักแต่เบา’ ของ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์

By ระวี ตะวันธรงค์
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.