วิเคราะห์เชิงลึก หลัง อย. ตรวจพบสารปนเปื้อนในยาดมหงส์ไทย สูตร 2 พร้อมเผยผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดด “หงส์ไทย” จะไปต่ออย่างไร หลังประสบวิกฤตระดับมรสุม
วิกฤตคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการตรวจพบสารปนเปื้อนในยาดมสูตร 2 โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางของ ยาดมสมุนไพรตราหงส์ไทย ซึ่งมิใช่แค่การชะงักงันทางการตลาด แต่คือการสั่นคลอนความเชื่อมั่นในรากฐานของแบรนด์
การวิเคราะห์สถานการณ์นี้ภายใต้บริบทของผลประกอบการที่กำลังพุ่งสูง ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อมูลค่าของบริษัท และกำหนดทิศทางการ “ไปต่อ”
1. การเติบโตแบบก้าวกระโดดของหงส์ไทย
ปี 2563 รายได้ 17,821,360.58 บาท / ขาดทุน 6,138,133.10 บาท
ปี 2564 รายได้ 24,849,262.61 บาท / ขาดทุน 5,157,519.52 บาท
ปี 2565 รายได้ 62,722,792.10 บาท / กำไร 782,832.15 บาท
ปี 2566 รายได้ 215,708,824.96 บาท / กำไร 1,432,803.43 บาท
ปี 2567 รายได้ 366,171,154.62 บาท / กำไร 2,055,997.30 บาท
ข้อมูลผลประกอบการของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด แสดงถึงเส้นทางการเติบโตที่น่าทึ่ง โดยเปลี่ยนสถานะจากธุรกิจที่ขาดทุนมาเป็นผู้นำตลาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในช่วงปี 2563 และ 2564 บริษัทประสบภาวะขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมเพียง 17.8 ล้านบาท และ 24.8 ล้านบาท ตามลำดับ และขาดทุนกว่า 6.1 ล้านบาท และ 5.1 ล้านบาท
จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 2565 ที่บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยมีรายได้รวม 62.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7.8 แสนบาท
หลังจากนั้น การเติบโตก็พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ในปี 2566 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 215.7 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 244 % จากปีก่อนหน้า พร้อมทำกำไรสุทธิ 1.43 ล้านบาท
และในปี 2567 รายได้รวมของบริษัทพุ่งทะยานต่อไปถึง 366.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องด้วยอัตราสูง พร้อมทำกำไรสุทธิ 2.05 ล้านบาท รายได้รวมในช่วง 2 ปี (2565-2567) เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว
บทสรุปจากผลประกอบการ: วิกฤตคุณภาพเกิดขึ้นในช่วงที่บริษัทกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง การจัดการวิกฤตที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มาพร้อมกับการเติบโตนี้ต้องพังทลายลง และส่งผลกระทบย้อนหลังต่อผลกำไรที่บริษัทเพิ่งเริ่มสร้างได้อย่างต่อเนื่อง

2. น้ำหนักของวิกฤต: เมื่อคุณภาพกระทบต่อ “มูลค่าการเติบโต”
สำหรับแบรนด์ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว วิกฤตการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ไม่ได้ทำลายแค่กำไรของล็อตที่มีปัญหาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อ
– การกัดเซาะทุนความเชื่อมั่น : ความเชื่อมั่นคือปัจจัยหลักที่ทำให้หงส์ไทยมีอัตราการเติบโตสูง การปนเปื้อนทำลายความเชื่อมั่นใน “ความบริสุทธิ์ของสมุนไพร” ซึ่งเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ และสร้างความเสี่ยงให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์สูตรอื่น ๆ ที่เป็นกำลังสำคัญในการทำรายได้ต้องชะลอตัว
– ความเสี่ยงต่อกำลังการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน: การเรียกคืนสินค้ากว่า 200,000 กระปุก ก่อให้เกิดต้นทุนที่สูง และยังชี้ให้เห็นว่าระบบการควบคุมคุณภาพ (QC) ยังไม่สามารถรองรับอัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าได้ บริษัทจึงต้องแบกรับภาระ ต้นทุนในการลงทุนซ้ำในระบบคุณภาพ อย่างเร่งด่วน
3. การฟื้นฟู “ทุนความเชื่อมั่น”
การจะ “ไปต่อ” อย่างยั่งยืน หงส์ไทยต้องดำเนินการในมิติเชิงกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการกอบกู้ความเชื่อมั่น
– การตรวจสอบที่เป็นอิสระ บริษัทควรพิจารณาการว่าจ้างหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพภายนอกที่มีชื่อเสียง เพื่อทำการตรวจสอบกระบวนการผลิตทั้งหมดอย่างละเอียด (ไม่ใช่แค่เฉพาะล็อตที่มีปัญหา) และเปิดเผยผลการตรวจสอบอย่างโปร่งใส การรับรองจากบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือจะช่วยสลายความสงสัยของผู้บริโภคได้รวดเร็วกว่าคำชี้แจงของบริษัทเอง
– มาตรฐานที่เหนือกว่ากฎหมาย อย. กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ แต่หงส์ไทยต้องประกาศใช้มาตรฐานคุณภาพภายในองค์กรที่เข้มงวดกว่ามาตรฐานทางกฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่น (เช่น การควบคุมเชื้อจุลินทรีย์ที่เข้มงวดกว่าที่กำหนดหลายเท่า) และต้องมีการลงทุนในระบบ การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) ของวัตถุดิบสมุนไพรทุกชนิด เพื่อระบุและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ

4. การลงทุนในความยั่งยืนของการผลิต
วิกฤตครั้งนี้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบเพื่อรับมือกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
– ยกระดับโรงงานสู่ “มาตรฐานสากลขั้นสูง”: การลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ (เช่น UV Sterilization ตามที่ประกาศ) ต้องมาพร้อมกับการยกระดับการบริหารจัดการโรงงานให้ได้มาตรฐานที่สูงอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ GMP พื้นฐาน แต่เป็นการตั้งเป้าสู่มาตรฐานที่ใช้ในอุตสาหกรรมยาหรือเครื่องสำอางระดับพรีเมียม
– การประกันคุณภาพวัตถุดิบ เนื่องจากสมุนไพรมีความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากธรรมชาติ (ดิน เชื้อรา) หงส์ไทยควรลงทุนใน การควบคุมแหล่งเพาะปลูก หรือมีกระบวนการตรวจสอบและคัดกรองวัตถุดิบที่เข้มงวดก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต เพื่อกำจัดความเสี่ยงตั้งแต่ต้นน้ำ
5, การขับเคลื่อนเชิงบวก
พลังของหงส์ไทยคือเรื่องราวและเอกลักษณ์ แต่หลังจากวิกฤตนี้ การสื่อสารจะต้องเปลี่ยนจากการเน้นความ “คลาสสิก” ไปสู่การเน้น “ความรับผิดชอบและความปลอดภัย”
– เปลี่ยนเรื่องเล่าจากวิกฤต : บริษัทต้องใช้เวทีสาธารณะในการเปลี่ยนเรื่องราวจาก “ยาดมที่มีปัญหา” เป็น “ยาดมที่กล้าเผชิญปัญหาและเข้มแข็งกว่าเดิม” การสื่อสารควรเน้นย้ำความโปร่งใส ความรวดเร็วในการแก้ไข และผลลัพธ์ของการยกระดับมาตรฐานใหม่ที่ผู้บริโภคจะได้รับ
– สร้างความแตกต่างด้วย ‘ความปลอดภัย’: ในอดีต หงส์ไทยสร้างความแตกต่างด้วย “กลิ่น” ต่อไปนี้ต้องสร้างความแตกต่างด้วย “ความปลอดภัยที่ตรวจสอบได้” นี่คือโอกาสในการกำหนดนิยามใหม่ของยาดมสมุนไพร ว่าต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั้งดีต่อใจและปลอดภัยต่อสุขภาพ
วิกฤตครั้งนี้ทำให้หงส์ไทยต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า “ความเร็วของการเติบโตต้องมาพร้อมกับความเข้มแข็งของระบบ” การไปต่อของหงส์ไทยจึงไม่ใช่แค่การกลับมาขายสินค้าได้ตามปกติ แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น แบรนด์ที่มีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง หากทำได้สำเร็จ หงส์ไทยจะพิสูจน์ให้เห็นว่าแบรนด์นี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องราว แต่ยังยืนหยัดอยู่บนมาตรฐานคุณภาพที่ไม่ประนีประนอม

