ราคาทองคำร่วงแรงเพราะอะไร? วิเคราะห์เชิงลึกปัจจัยที่ทำให้ทองคำดิ่งจากจุดสูงสุด พร้อมแนวโน้มการกลับมาผงาดในอนาคตอันใกล้
ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา วงการนักลงทุนทองคำ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ชวนให้หายใจติดขัด เมื่อราคาทองคำซึ่งเพิ่งทะยานขึ้นไปแตะจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 4,381 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต้องเจอกับการปรับฐานที่รุนแรงและรวดเร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ!
1. สถิติการดิ่งลงที่น่าตกใจ
การปรับฐานครั้งนี้เริ่มต้นอย่างรุนแรงในวันที่ 21 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันที่ราคาทองคำประสบกับการลดลงภายในวันเดียวกว่า 6% (หรือเกือบ 300 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ถือเป็นการลดลงรายวันที่หนักที่สุดในเชิงเปอร์เซ็นต์ในรอบ 12 ปี
โดยรวมแล้ว ราคาทองคำได้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากจุดสูงสุดจนถึงจุดต่ำสุดในช่วงเวลานั้นคิดเป็นมูลค่ารวม 6-7% คำถามคือ อะไรเป็นชนวนที่ทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยที่ทรงพลังที่สุดในโลกนี้ ราคาตกอย่างฉับพลัน
ปัจจัยที่ 1: “ความสงบ” คือศัตรูตัวฉกาจของ ทองคำ!
ลองนึกภาพว่า ทองคำ คือ “บอดี้การ์ดส่วนตัว” ที่นักลงทุนจ้างมาคุ้มครองพอร์ตในช่วงที่โลกกำลังปั่นป่วน ตลอดปี 2025 ราคาทองคำพุ่งกว่า 60% ก็เพราะโลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐฯ-จีน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
แต่แล้ว ในช่วงปลายเดือนตุลาคม “ข่าวแห่งความหวัง” ก็ปรากฏขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย เมื่อมีรายงานว่า สหรัฐฯ และจีนบรรลุ “ฉันทามติเบื้องต้น” ในการเจรจาการค้า ซึ่งเปรียบเสมือน “สัญญาณไฟเขียว” ที่บอกให้นักลงทุนเลิกกังวลและกลับเข้าสู่การเสี่ยง ทันใดนั้น บอดี้การ์ด “ทองคำ” ก็ถูกมองว่า “หมดความจำเป็น” ไปในทันที
ผลลัพธ์คือ: ตลาดเปลี่ยนจากโหมด “หลีกหนีความเสี่ยง” (Risk-off) สู่โหมด “เดินหน้าลุยเสี่ยง” (Risk-on) นักลงทุนรีบเทขายทองคำ เพื่อนำเงินไปไล่ล่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าและให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น หุ้น นี่คือการจัดสรรเงินลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุด
ปัจจัยที่ 2: การ “ชำระบัญชี” ครั้งใหญ่ของนักเก็งกำไรในตลาด ทองคำ
การดิ่งลงของราคาทองคำอย่างรวดเร็วไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่แย่ลง แต่มาจาก “การขายทำกำไร”(Profit-taking) ที่เกิดขึ้นพร้อมกันจำนวนมหาศาล
สะสมกำไรสูงเกินไป: ก่อนหน้านี้ราคาทองคำ พุ่งขึ้นอย่างน่าทึ่งกว่า 50-60% ในเวลาไม่ถึง 10 เดือน ทำให้ตลาดอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
การเร่งตัวของฟิวเจอร์ส: เมื่อมีข่าวดีจากประเด็นการค้าเป็นตัวกระตุ้น และโมเมนตัมเปลี่ยนทิศทาง นักลงทุนที่ถือสถานะซื้อทองคำจำนวนมากโดยเฉพาะในตลาดฟิวเจอร์สที่ใช้เลเวอเรจสูง จึงทำการขายอย่างรุนแรงและรวดเร็วเพื่อชำระบัญชีสถานะ การขายแบบกะทันหันนี้ทำให้เกิดแรงขายทับถมกันเป็นลูกโซ่ และทำให้ราคาทองคำหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงไปทันที
ปัจจัยที่ 3: แรงกดดันจาก “ค่าเงินดอลลาร์” ต่อ ราคาทองคำ
ในขณะที่ทองคำราคาตก ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ไม่ควรมองข้าม
กฎง่ายๆ: ทองคำมีราคาเป็นดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทองคำก็แพงขึ้นสำหรับผู้ที่ถือสกุลเงินอื่น ทำให้ความต้องการลดลง

2. ทองคำร่วงเพราะ “หมดความเสี่ยง” ไม่ใช่ “ดอกเบี้ยขึ้น”
นักลงทุนและนักวิเคราะห์มักเชื่อว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยเสมอ (เพราะดอกเบี้ยสูงทำให้ถือทองคำขาดทุนโอกาส) แต่สถิติในช่วงที่ราคาทองคำร่วงครั้งนี้ กลับเผยความจริงที่น่าสนใจ
2.1 แรงกดดันจากดอลลาร์สหรัฐฯ: ในช่วงที่มีการเทขายอย่างรุนแรง ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นไปตามความสัมพันธ์ปกติที่ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับดอลลาร์ การวัดความสัมพันธ์ในรอบ 60 วัน พบว่ายังคงมีความสัมพันธ์ผกผันในระดับปานกลางที่ประมาณ -0.45
นั่นหมายความว่า การแข็งค่าของดอลลาร์มีส่วนเร่งให้ราคาทองคำลดลงต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่จุดชนวนการขาย
2.2 ดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่เกี่ยวโดยตรง: แม้ว่าราคาทองคำจะถูกกำหนดด้วยปัจจัย “ดอกเบี้ยที่แท้จริง” ในระยะยาว แต่การวิเคราะห์ทางสถิติในช่วงที่เกิดการดิ่งเหวนี้ กลับพบว่า การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่อ่อนแอมาก (ค่าสหสัมพันธ์เพียงประมาณ -0.16
2.3 ข้อสรุปจากการวิเคราะห์: ตัวเลขสถิติที่อ่อนแอมากของดอกเบี้ยที่แท้จริง คือเครื่องยืนยันว่า แรงกระแทกครั้งใหญ่ที่ทำให้ราคาทองคำดิ่งเหวนั้น ไม่ได้มาจาก “วิกฤตดอกเบี้ย” ตามปกติ แต่เป็นผลมาจากการคลี่คลายของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเทขายทำกำไรครั้งใหญ่ของนักเก็งกำไร ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าพลวัตด้านดอกเบี้ย

3. มุมมองสำหรับนักลงทุน: นี่คือการพักรบของทองคำ ไม่ใช่การแพ้สงคราม
การลดลงของราคาทองคำ ในครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาณของการสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นการ “พักฐานทางยุทธวิธีที่จำเป็น” ซึ่งช่วยลดภาวะซื้อมากเกินไปในตลาดลงในระยะยาว ปัจจัยที่สนับสนุนทองคำยังคงแข็งแกร่งและรอวันกลับมานำตลาด
3.1 ยักษ์ใหญ่ยังคงซื้อ: ธนาคารกลางทั่วโลก ยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง และมีการซื้อเกิน 1,000 ตันต่อปี ติดต่อกันเป็นปีที่สาม ซึ่งเป็นการสร้างระดับแนวรับเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญให้กับราคาทองคำ
3.2 ดอกเบี้ยเตรียมลด: การคาดการณ์การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed ในอนาค (คาดการณ์ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนสิ้นปี 2025) ยังคงเป็นปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างมหาศาล เพราะจะช่วยลด “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ในการถือทองคำ
สำหรับนักลงทุนที่เชี่ยวชาญ ช่วงราคาที่ทองคำ ปรับฐานลงมาสู่ระดับใกล้ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จึงอาจเป็น “โอกาสทอง” ในการสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยนี้อย่างมีกลยุทธ์ ก่อนที่ตลาดจะกลับมาให้ความสำคัญกับปัจจัยบวกในระยะยาวอีกครั้ง

