ถอดรหัสทองคำกลับมาพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ อีกครั้ง เผยปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่อาจทำให้ราคาทองสูงขึ้นต่อเนื่อง
ราคาทองคำ ได้พุ่งทะยานไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 4,381.60 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะมีการปรับฐานลงอย่างรวดเร็ว และในขณะนี้ กำลัง “กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง” เพื่อมายืนที่ระดับประมาณ 4,001 ดอลล่าร์ต่อออนซ์
การกลับมาพุ่งขึ้นรอบใหม่นี้ เกิดจากกลไกเดิมที่ทรงพลังอย่าง “พายุสมบูรณ์แบบ” ที่ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้คือคำตอบว่าทำไมราคาทองคำถึงรีบาวด์กลับมาอย่างรวดเร็ว และจะเป็นตัวชี้ขาดว่าราคาทองคำจะ “สูงขึ้นต่อเนื่อง” ได้หรือไม่
1. ดอกเบี้ยขาลง: แรงกระตุ้นหลักในการกลับมา
ราคาทองคำมีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (ผลตอบแทนจากการฝากเงิน / พันธบัตรหักเงินเฟ้อ)
– สาเหตุของการรีบาวด์: การที่ราคาทองคำพุ่งกลับมาสู่ระดับ 4,000 ดอลล่าร์+ อีกครั้ง เป็นเพราะตลาดกลับมาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน
– กลไกง่ายๆ: เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย (ล่าสุดคือการปรับลด 25 basis points ในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สองในปีนี้) ผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่น ๆ ก็จะลดลงตาม ทำให้ “ค่าปรับ” (หรือต้นทุนค่าเสียโอกาส) ในการถือทองคำซึ่งไม่ให้ดอกเบี้ยนั้นลดต่ำลง การเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังนี้เองที่ผลักดันให้ทองคำกลับสู่ขาขึ้น

2. ดอลลาร์อ่อนแอ: ตัวเร่งปฏิกิริยาให้ราคาดีดกลับ
เนื่องจากทองคำมีราคาอ้างอิงเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) การเคลื่อนไหวของดอลลาร์จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อทองคำ
– ความสัมพันธ์เชิงสถิติ (ไม้กระดก): ราคาทองคำกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) มีความสัมพันธ์ผกผันที่แข็งแกร่งมาก โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ที่ -0.96
อธิบายง่าย ๆ คือ: ความสัมพันธ์นี้เปรียบเสมือน “ไม้กระดกที่สมบูรณ์แบบ” ที่มีความสมดุลเกือบ 100% เมื่อไม้กระดกฝั่งเงินดอลลาร์ “ตกลง” (อ่อนค่าลง) ไม้กระดกฝั่งทองคำก็จะ “พุ่งขึ้น” ทันที
– ผลลัพธ์ของการอ่อนค่า: การที่ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย (ข้อ 1) ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงในปัจจุบัน ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกแห่เข้ามาซื้อทองคำ เพราะราคาทองคำในมุมมองของพวกเขา “ถูกลง”
3. ความกลัวขั้นสุด: การตีราคาความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นถาวร
ทองคำกลับมาเป็นที่ต้องการอย่างมาก เพราะนักลงทุนยอมจ่าย “เบี้ยประกันความเสี่ยง” (Risk Premium) ในราคาที่สูงขึ้น เพื่อป้องกันความมั่งคั่งจากความไม่แน่นอนของโลก
– ปัจจัยความกลัวที่ยังคงอยู่:
(1) วิกฤตการเงินและนโยบาย: คำเตือนถึงวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2568 และความเสี่ยงจากวิกฤตการเมืองภายในสหรัฐฯ (เช่น Government Shutdown)
(2) ภูมิรัฐศาสตร์ถาวร: ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ (สหรัฐฯ-จีน) และความขัดแย้งที่ยังไม่คลี่คลาย
(3) บทบาทของทองคำ: การซื้อขายที่ระดับ 4,001 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในปัจจุบัน สะท้อนว่านักลงทุนประเมินแล้วว่า ความเสี่ยงเหล่านี้จะไม่หายไปในเร็ววัน ทำให้ความต้องการ “สินทรัพย์ปลอดภัยชั้นยอด” ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง
4. ธนาคารกลาง: ผู้สร้างฐานราคาที่มั่นคง
แรงซื้อทองคำของภาครัฐและสถาบัน เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำสามารถยกระดับฐานราคาให้สูงขึ้นอย่างถาวร
– สถิติการซื้อหนัก: ในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิรวม 220 ตัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 28% จากไตรมาสก่อนหน้า การซื้อรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 634 ตัน
– เป้าหมายลดการพึ่งพาดอลลาร์: การซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องมีเป้าหมายหลักเพื่อ ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ (De-dollarization) การกระทำที่ไม่สนใจราคาของธนาคารกลางนี้ทำให้เกิดราคาทองคำขั้นต่ำ (Price Floor) ที่มั่นคง ทำให้ราคาไม่สามารถตกลงไปในระดับต่ำ ๆ เหมือนในอดีตได้ง่าย
– ข้อสังเกตสำคัญ: ในขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น อุปสงค์ทองคำจากเครื่องประดับ (การบริโภคทั่วไป) กลับลดลงอย่างมากถึง 13% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการยืนยันว่า ราคาที่พุ่งทะลุฟ้านี้ถูกขับเคลื่อนด้วย “การลงทุนและการป้องกันความเสี่ยง” ไม่ใช่ความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป

5. ราคาทองคำจะสูงขึ้นต่อเนื่องหรือไม่?
คำตอบคือ: แนวโน้มระยะกลางถึงยาว “ยังคงเป็นบวก” อย่างต่อเนื่อง
การที่ราคาทองคำกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งที่ระดับ 4,001 ดอลล่าร์ ต่อออนซ์ เป็นการตอกย้ำว่าปัจจัยเชิงโครงสร้างทั้งสี่ข้อนี้ยังคงทำงานเต็มกำลัง โดยเฉพาะความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยของ Fed และอุปสงค์ที่ไม่สิ้นสุดของธนาคารกลาง
– ปัจจัยสนับสนุนความต่อเนื่อง:
ตราบใดที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินการลดการพึ่งพาดอลลาร์ และ ซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง (Central Bank Demand)
ตราบใดที่ “ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์” ยังคงอยู่ในระดับสูง ทองคำก็จะได้รับแรงหนุนให้สูงขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” จะลดลงอย่างมีโครงสร้างในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
นักวิเคราะห์ชั้นนำจึงยังคงมุมมองเชิงบวก โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสจะทะลุระดับ 4,400 ดอลล่าร์ ต่อออนซ์ ภายในปี 2026 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าวงจรขาขึ้นครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ

