เจาะลึกผลโพลการเมืองปลายปี 2568 VS เลือกตั้ง 2566 เผยจุดเปลี่ยนสำคัญ “ภูมิใจไทย” ผงาดท้าชิงอันดับ 1 ด้วยโมเดลไฮบริด วิเคราะห์ทิศทาง สส.บัญชีรายชื่อ และสมการอำนาจใหม่
ในทางการเมือง ตัวเลขจากโพลไม่ใช่แค่ดัชนีชี้วัดความนิยม แต่คือสัญญาณชีพที่บ่งบอกถึง “สุขภาพ” ของพรรคการเมือง ณ ช่วงเวลานั้น เมื่อนำผลสำรวจ สวนดุสิตโพล ในหัวข้อ “หากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้พรรคการเมืองที่ประชาชนจะเลือกแบบบัญชีรายชื่อ” เผยแพร่วันที่ 23 พ.ย. 2568 มาวางเทียบกับ ผลการเลือกตั้งปี 2566
1. ผลโพลในหัวข้อ “หากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้พรรคการเมืองที่ประชาชนจะเลือกแบบบัญชีรายชื่อ”
อันดับ 1 ประชาชน 26.25%
อันดับ 2 ภูมิใจไทย 22.02%
อันดับ 3 เพื่อไทย 12.54%
อันดับ 4 ประชาธิปัตย์ 12.15%
อันดับ 5 พลังประชารัฐ 2.79%
อันดับ 6 เศรษฐกิจ 2.62%
อันดับ 7 รวมไทยสร้างชาติ 2.29%
2 ผลการเลือกตั้งปี 2566 สส.บัญชีรายชื่อ
อันดับ 1 ก้าวไกล ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อจำนวน 38 คน
อันดับ 2 เพื่อไทย ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อจำนวน 29 คน
อันดับ 3 รวมไทยสร้างชาติ ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อจำนวน 12 คน
อันดับ 4 พรรคภูมิใจไทย ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อจำนวน 3 คน
อันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อจำนวน 2 คน
เมื่อนำผลโพลปลายปี 2568 มาเทียบกับผลการเลือกตั้ง ปี 2566 เราไม่ได้เห็นแค่ความเปลี่ยนแปลงของตัวเลข แต่เรากำลังเห็น “การเคลื่อนตัวของฐานอำนาจ” ที่น่าจับตามองใน 4 ประเด็นสำคัญ

3. ภูมิใจไทย: จาก “พรรคบ้านใหญ่” สู่โมเดล “ไฮบริด” ที่น่าเกรงขาม
สถิติที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างมีนัยยะ คือกรณีของพรรคภูมิใจไทย
เลือกตั้งปี 2566: ในสนามเลือกตั้งจริง ระบบบัญชีรายชื่อคือจุดอ่อนที่สุดของภูมิใจไทย พรรคทำได้เพียง 3 ที่นั่ง ซึ่งสะท้อนว่าเป็นพรรคที่ประชาชนเลือกเพราะ “ตัวบุคคล” (สส.เขต) อย่างแท้จริง
ผลโพลปลายปี 2568: ผลโพลระบุว่าความนิยมพรรคพุ่งขึ้นมาแตะ 22.02% (อันดับ 2) 2 ซึ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Analysis: ตัวเลขนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มาพร้อมกับฐานข้อมูลที่ระบุว่า ประชาชนมองภูมิใจไทยเป็นเบอร์ 1 ในเรื่อง “ความพร้อมเป็นรัฐบาล” (41.36%) และ “ทรัพยากร/ทุน” (40.80%)
จุดสังเกต: นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนเริ่มหันมามองความมีเสถียรภาพ มากกว่าการเลือกด้วยอุดมการณ์เพียวๆ แบบปี 2566 หรือไม่ ? หากภูมิใจไทยเปลี่ยนคะแนนนิยมนี้เป็นคะแนนเสียงได้จริง พวกเขาจะไม่ใช่แค่พรรคตัวแปรอีกต่อไป แต่คือพรรคแกนนำเต็มตัว
4. เพื่อไทย: วิกฤตศรัทธาหรือช่วงขาลงทางการเมือง ?
เลือกตั้งปี 2566: เคยเป็นพรรคอันดับ 2 ที่แข็งแกร่งในระบบบัญชีรายชื่อ ด้วยจำนวน 29 ที่นั่ง
ผลโพลปลายปี 2568: ความนิยมในโพลลดระดับลงมาเหลือ 12.54% (อันดับ 3) 5 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลสำหรับพรรคอดีตแกนนำรัฐบาล
Analysis: แม้เพื่อไทยจะยังครองจุดเด่นเรื่อง “ประสบการณ์ทางการเมือง” (29.88%) แต่การที่คะแนนความนิยมบัญชีรายชื่อหล่นลงมาอยู่ในระดับเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ “เพื่อไทย” ในสายตาผู้เลือกตั้งระดับประเทศกำลังสูญเสียมนต์ขลัง

5. พรรคประชาชน: เพดานที่มองไม่เห็น
เลือกตั้งปี 2566: ก้าวไกล (เดิม) สร้างปรากฏการณ์ด้วยการกวาด สส. บัญชีรายชื่อถึง 38 ที่นั่ง
ผลโพลปลายปี 2568: ยังคงนำเป็นอันดับ 1 ที่ 26.25% โดยครองใจในเรื่อง “ความทันสมัย” (50.06%) และ “การตรวจสอบ” (41.69%)
Analysis: แม้จะยังเป็นที่ 1 แต่ระยะห่าง (Gap) ระหว่างอันดับ 1 และ 2 แคบลงเหลือเพียงประมาณ 4% เท่านั้น นี่คือโจทย์ใหญ่ของพรรคประชาชน เมื่อจุดขายเรื่อง “การตรวจสอบ” และ “ความทันสมัย” อาจเป็นฐานที่มั่นคง แต่การขยายฐานเสียงเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว อาจกำลังชนเพดาน
4. ประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ: การสลับขั้วของฝ่ายอนุรักษ์
เลือกตั้งปี 2566: รวมไทยสร้างชาติ (กระแสลุงตู่) กวาดไป 12 ที่นั่ง ในขณะที่ประชาธิปัตย์ได้เพียง 2 ที่นั่ง
ผลโพลปลายปี 2568: สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร รวมไทยสร้างชาติเหลือความนิยมเพียง 2.29% ในขณะที่ประชาธิปัตย์ดีดกลับมาที่ 12.15%
Analysis นี่คือหลักฐานว่าคะแนนเสียงฝั่งอนุรักษ์นิยมไม่ได้หายไปไหน แต่เกิดการ “ถ่ายโอนกลับ” เมื่อหมดปัจจัยตัวบุคคล (พล.อ.ประยุทธ์) ฐานเสียงเดิมก็ไหลกลับสู่สถาบันการเมืองเก่าแก่ หรืออาจถูกแบ่งไปที่ภูมิใจไทยบางส่วน

5. บทสรุป: ภูมิทัศน์ใหม่ที่ไม่ได้วัดกันแค่ “กระแส”
หากปี 2566 คือชัยชนะของ “กระแสและความเปลี่ยนแปลง” ข้อมูลปี 2568 กำลังบอกเราว่าสมรภูมิครั้งหน้าอาจเป็นการปะทะกันระหว่าง “อุดมการณ์” (พรรคประชาชน) กับ “ทรัพยากรและเครือข่าย” (ภูมิใจไทย) โดยมีพรรคเพื่อไทยที่ต้องเร่งหาจุดยืนใหม่ในสมการนี้
ข้อมูลอ้างอิง: สวนดุสิตโพล (23 พ.ย. 2568) และ สถิติ กกต. (เลือกตั้ง 2566)

