หากการเมืองคือเรื่องของจังหวะ ตัวเลขจาก “สวนดุสิตโพล” (สำรวจ 16-19 ธ.ค. เผยแพร่ 21 ธ.ค. 2568) จากการสำนวจในหัวข้อที่ว่า “ถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ. 2569” กำลังบอกเราว่า จังหวะการเมืองไทยก่อนถึงวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 ไม่ใช่การนำโด่งของใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่กำลังเข้าสู่ภาวะที่ทุกคะแนนมีความหมาย และชัยชนะอาจถูกตัดสินด้วยความกลัวและความหวังของคนเพียง 15% ที่ยังไม่ตัดสินใจ นี่คือ 4 ประเด็นชวนคิด จากตัวเลขที่ซ่อนอยู่ใต้กราฟสถิติ
1. ภาพลวงตาของ “ผู้นำ” กับช่องว่างที่หายใจรดต้นคอ
เมื่อมองผิวเผิน พรรคประชาชน ยังคงครองแชมป์ความนิยมอันดับ 1 ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ (24.55%) และ สส.เขต (23.48%) แต่หากมองในมุมนักสถิติ ตัวเลขนี้ไม่ได้อยู่โซนที่ปลอดภัย
สิ่งที่น่าจับตามองคือระยะห่าง (Gap) ระหว่าง พรรคเพื่อไทย ที่ไล่ตามมาติดๆ ห่างกันเพียง 2-3% เท่านั้น (เพื่อไทยได้ สส.บัญชีรายชื่อ อันดับ 2 : 21.62% / และ สส.เขต อันดับ 2 : 21.53%) ตัวเลขระดับนี้ในทางสถิติถือว่าอยู่ในระยะ “หายใจรดต้นคอ” ซึ่งพร้อมจะพลิกผันได้ทุกเมื่อหากเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองเพียงเล็กน้อย

2. ปรากฏการณ์ “ยศชนัน”
ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดในโพลนี้ อาจไม่ใช่ใครชนะ แต่คือ “คะแนนนิยมส่วนตัว” ของแคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 1 ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ จากเพื่อไทย ได้คะแนนความนิยมเป็นนายกฯ ถึง 21.95% (อันดับที่ 2) ซึ่งสูงกว่าคะแนนพรรคของตัวเองทั้งสองระบบ สิ่งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ที่น่าขบคิด
– ความเป็นคนในตระกูลชินวัตร สามารถดึงฐานเสียงเก่าที่ภักดีกลับมาได้ ?
– ในขณะที่ความสดใหม่ของตัวบุคคล ช่วยลบภาพจำเดิมๆ และดึงคะแนนจากคนที่เบื่อนักการเมืองหน้าเดิม
– เทียบกับ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (อันดับ 1)ที่ได้ 23.97% ช่องว่างระหว่างแคนดิเดตนายกฯ ของสองพรรคใหญ่แคบลงจนแทบจะเป็น “ทางคู่ขนาน”
3. ภูมิใจไทย: เสือซุ่มที่วัดด้วย “โพล” ไม่ได้
แม้ตัวเลขของ ภูมิใจไทย จะอยู่อันดับ 3 (16.04 %) แต่ข้อสังเกตจาก ผศ.อัญชลี รัตนะ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (ทีมงานผู้จัดทำโพล) ชี้ให้เห็นความจริงที่น่ากลัวกว่าตัวเลข คือ “ระบบทรัพยากรและการดูแลพื้นที่”
ในการเลือกตั้งจริง คะแนนเสียงไม่ได้ลอยมาจากอากาศ แต่มาจาก “ความไว้วางใจที่จับต้องได้” ในยามวิกฤต ซึ่งเป็นจุดแข็งของระบบบ้านใหญ่ การที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ยังเกาะกลุ่มผู้นำที่ 16.25% (อันดับที่ 3) บ่งบอกว่า หากมีการบริหารจัดการคะแนนหน้างานที่มีประสิทธิภาพ อาจกลายเป็นตัวแปรอาจจะพลิกเกมได้ช่วงการเลือกตั้ง

4. โจทย์หินปี 2569: เมื่อประชาชนต้องการ “ผู้นำไฮบริด”
ทำไมกลุ่มคนที่ “ยังไม่ตัดสินใจ” ถึงมีมากถึง 15.28% ในหัวข้อนายกฯ ? คำตอบซ่อนอยู่ในบทวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา ปี 2568 เป็นปีที่ไทยเผชิญทั้งภัยธรรมชาติและความขัดแย้งเพื่อนบ้าน ทำให้โจทย์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความย้อนแย้งในตัวเอง
– ใจหนึ่ง… ต้องการ “ความเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง” (จุดขายพรรคประชาชน)
– อีกใจหนึ่ง… ก็โหยหา “ความมั่นคงปลอดภัย” และ “ปากท้องที่จับต้องได้” (จุดขายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม)
ดังนั้น ผู้ชนะในสนามนี้ อาจไม่ใช่คนที่โดดเด่นไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่คือคนที่สามารถเป็น “ผู้นำไฮบริด” ที่ผสมผสานความทันโลกยุคดิจิทัล เข้ากับความสามารถในการแก้ปัญหาหนี้สินและวิกฤตเฉพาะหน้าได้อย่างเบ็ดเสร็จ
5. ไม่มีใครตีตราจองเก้าอี้นายกฯ ได้
ผลโพลนี้ไม่ใช่คำทำนายผู้ชนะ แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ไปยังทุกพรรคการเมืองว่า ประชาชนไม่ได้มอบเช็คเปล่าให้ใคร พรรคประชาชนนำแต่ไม่ทิ้งห่าง พรรคเพื่อไทยอาจฟื้นตัวด้วยผู้นำใหม่ และภูมิใจไทยยังคงทรงอิทธิพลในพื้นที่ โค้งสุดท้ายสู่กุมภาพันธ์ 2569 จึงไม่ใช่แค่การสู้กันด้วยนโยบาย แต่คือการช่วงชิงความเชื่อมั่นว่า “ใครและพรรค ที่ทำให้คนไทยเชื่อมั่นมากที่สุด”
อ้างอิง : สวนดุสิตโพล : ถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ. 2569 เผยแพร่วันที่ 21 ธ.ค. 68

