วิเคราะห์เกมเดิมพันของพรรคประชาชน หลังหนุนอนุทินเป็นนายกฯ สรุปแล้วเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าหรือไม่ ?
ท่ามกลางสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดหลังคำวินิจฉัยให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะชะงักงัน
“พรรคประชาชน” ซึ่งกุม 143 เสียงในสภาฯ ได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้ชี้ขาด” การตัดสินใจของพวกเขาในการลงมติสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ ไม่ใช่แค่การเลือกตัวบุคคล แต่เป็นการเดิมพันอนาคตของพรรคและทิศทางของประเทศ
1. เมื่อ “ความจำเป็นอันเลวร้าย” อาจกลายเป็น “ตราบาปทางการเมือง”
“พรรคประชาชน” ให้เหตุผลว่าการเลือก “อนุทิน” ประมาณว่าเป็น “ความจำเป็นอันเลวร้าย” เพื่อทำลายทางตันทางการเมือง ป้องกันการแทรกแซงจาก “อำนาจนอกระบบ” และปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พวกเขาวางกรอบว่านี่คือหนทางที่เร็วที่สุดใน “การคืนอำนาจให้ประชาชน” ผ่านการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ก็มีคำถามตามมาว่า แล้วข้อเสนอสุดท้ายของ “เพื่อไทย” ที่ยอมยุบสภาทันที มันไม่ตอบโจทย์กว่าหรือ ?
ชัยชนะที่จับต้องได้ในระยะสั้นคือการบีบให้ “พรรคแกนนำรัฐบาลใหม่” ต้องเดินตามเกมผ่านบันทึกข้อตกลง (MOA) 5 ข้อ ที่แม้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ก็เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่คาดว่าจะทรงพลัง
ข้อตกลงนี้กำหนดให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน ริเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และทำให้ “พรรคประชาชน” กลายเป็นฝ่ายค้านที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วย สส. 143 คน พร้อมเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตรวจสอบ” ไปสู่ “ผู้กำกับควบคุม” วาระของรัฐบาล

2. ปรากฏการณ์ “คายส้ม”
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะทางยุทธวิธีนี้ ต้องแลกมาด้วยหายนะทางยุทธศาสตร์ อันเนื่องมาจาก “การปนเปื้อนทางอุดมการณ์” พรรคที่สร้างแบรนด์บนฐานของ “การเมืองใหม่” ได้ทำลายเส้นแบ่งของตนเองด้วยการสนับสนุนตัวแทนของ “การเมืองเก่า” ที่พวกเขาเคยต่อต้าน
การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับ “การชุบชีวิตให้ขั้วตรงข้ามทางการเมือง” กลับมามีความชอบธรรมอีกครั้งผลกระทบที่รุนแรงที่สุดคือปฏิกิริยาจากฐานเสียงของตนเอง ซึ่งมองว่านี่คือการหักหลังทางอุดมการณ์ ที่ “ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์” เรียกการตัดสินใจนี้ว่าเป็น “ตราบาป” ทางการเมือง
ขณะที่ “ยิ่งชีพ อัชฌานนท์” จาก iLaw กังวลว่า การตัดสินใจดังกล่าวอาจทำลายการตื่นรู้ทางการเมือง ที่พรรคสร้างมา พรรคได้แลก “เรื่องเล่า” ที่ทรงพลัง กับคำอธิบายที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจ
ข้อมูลเชิงตัวเลขยืนยันหายนะครั้งนี้อย่างชัดเจน ผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ในเดือนมิถุนายน 2568 “พรรคประชาชน” เคยได้รับความนิยมสูงถึง 46.08% แต่หลังการลงมติโหวตนายกฯ ผลสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ในเดือนกันยายน 2568 คะแนนนิยม “พรรคประชาชน” ดิ่งลงเหลือเพียง 23.94%
เท่ากับลดลงถึง 22.14 % ในเวลาไม่ถึงสามเดือน ที่น่ากังวลคือ “กลุ่มผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ” พุ่งสูงขึ้นจาก 7.72% เป็น 21.35% ซึ่งสะท้อนถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “คายส้ม”
ตัวเลขเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวที่น่ากังวล การลดลงอย่างฮวบฮาบของคะแนนนิยม ควบคู่ไปกับการพุ่งขึ้นของ “ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ” ชี้ให้เห็นว่าฐานเสียงของพรรคไม่ได้ย้ายไปสนับสนุนพรรคอื่น แต่ส่วนหนึ่งได้กลับกลายเป็น “คนไร้บ้านทางการเมือง”
3. บทเรียนจากพรรคประชาธิปัตย์
บทเรียนจาก “พรรคประชาธิปัตย์” ในปี 2562 คืออุทาหรณ์ที่ชัดเจนที่สุด พวกเขาเคยให้เหตุผลคล้ายกันในการเข้าร่วมรัฐบาล (ต่างจากกกรณีของพรรคประชาชน ที่โหวตสนับสนุน แต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาล) เพื่อ “ให้ประเทศหลุดพ้นจากความไม่แน่นอน” และผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ
ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งปี 2566 จนเหลือ สส. เพียง 25 ที่นั่ง นี่คือคำเตือนที่หนักแน่นว่า ผู้ลงคะแนนจะลงโทษพรรคที่ทรยศต่ออัตลักษณ์ของตนเอง
4. ได้ทางออก แต่อาจเสียอนาคต
สุดท้ายแล้ว พรรคประชาชน “ได้” ในการทำลายภาวะชะงักงันทางการเมือง แต่พวกเขากำลัง “สูญเสีย” ความไว้วางใจจากประชาชน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดให้กับเกมเดิมพันครั้งนี้ โดยผลการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า สิ่งเขายอมแลกไปนั้น มันคุ้มค่าหรือไม่ ?

