วิเคราะห์เจาะลึกสาเหตุราคาทองพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2568 จาก 4 ปัจจัยสำคัญ พร้อมคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
หากคุณเดินผ่านร้านทองในช่วงนี้ คงอดแปลกใจไม่ได้กับตัวเลขบนป้ายประกาศราคาที่พุ่งทะยานใกล้ระดับ 60,000 บาท (ต่อ 1 บาททองคำ) ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยราคาทองคำในตลาดโลกได้ทะลุหลัก 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไปแล้ว คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมราคาทองคำถึงสูงเป็นประวัติการณ์ ? และทิศทางในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจ “พายุที่สมบูรณ์แบบ” ที่ผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยจะอธิบายปัจจัยต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกการเงิน
1. เกิดอะไรขึ้นกับราคาทอง ?
ราคาทองคำทั้งในไทยและต่างประเทศได้ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์หลายครั้งในปี 2568 สำหรับคนไทย เราได้รับผลกระทบสองต่อ กล่าวคือ ไม่เพียงแต่ราคาทองในตลาดโลกจะสูงขึ้นเท่านั้น แต่ค่าเงินบาทที่อ่อนลงยังทำให้ราคาทองในประเทศยิ่งแพงขึ้นไปอีก เปรียบเสมือนการซื้อของจากต่างประเทศในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่า เราก็ต้องจ่ายแพงขึ้นนั่นเอง

2. ทำไมราคาทองจึงพุ่ง ? 4 เหตุผลหลักทีต้องรู้
การพุ่งขึ้นของราคาทองในครั้งนี้เกิดจาก 4 ปัจจัยหลักที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ได้แก่
(1) นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินของโลก ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลง
– เมื่อดอกเบี้ยลดลง: การฝากเงินในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรจะได้ผลตอบแทนน้อยลง ทำให้ “ทองคำ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที เพราะต้นทุนในการถือครองทองคำ (แทนที่จะเอาเงินไปฝาก) ลดลง
– เงินดอลลาร์อ่อนค่า: โดยปกติเมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลดลง ค่าเงินดอลลาร์ก็จะอ่อนลงตามไปด้วย ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น เป็นการกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อจากทั่วโลก
(2) ความไม่แน่นอนของโลก (ทองคำ = หลุมหลบภัย)
ในยามที่โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทองคำจะกลายเป็น “หลุมหลบภัย” ทางการเงินที่ทุกคนนึกถึงเสมอ สถานการณ์ปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
– สงครามและความขัดแย้ง: สถานการณ์ที่ยืดเยื้อในยูเครนและตะวันออกกลาง ทำให้นักลงทุนกังวลและหันมาซื้อทองคำเพื่อความปลอดภัย
– ปัญหาการเมืองภายในประเทศมหาอำนาจ: เหตุการณ์ “Government Shutdown” หรือการปิดหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม 2568 ได้สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำจนราคาทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่
(3) ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ซื้อทองคำ
นี่คือปัจจัยที่เปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะจีน อินเดีย และโปแลนด์ ได้เข้าซื้อทองคำเก็บเป็นทุนสำรองในปริมาณมหาศาล
เหตุผลสำคัญคือพวกเขาต้องการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ได้เห็นกรณีที่สหรัฐฯ และพันธมิตรทำการอายัดทรัพย์สินของรัสเซีย การกระทำนี้เปรียบเสมือนการสร้าง “ฐานราคา” ที่แข็งแกร่งให้กับทองคำ เพราะมีผู้ซื้อรายใหญ่ที่พร้อมจะเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง
(4) พฤติกรรมของนักลงทุนที่เปลี่ยนไป
– คนซื้อเครื่องประดับน้อยลง: เนื่องจากราคาทองที่แพงขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อทองในรูปแบบของเครื่องประดับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
– นักลงทุนซื้อทองคำแท่งและกองทุนทองคำมากขึ้น: ในทางกลับกัน นักลงทุนสถาบันและรายย่อยกลับเข้าซื้อทองคำในรูปแบบของการลงทุน (ทองคำแท่ง, เหรียญ, กองทุน ETF) เพิ่มขึ้นอย่างมาก
สิ่งนี้สะท้อนว่าบทบาทของทองคำได้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางการเงินเพื่อการลงทุน” อย่างเต็มตัว

3. บทเรียนจากอดีต: ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือไม่?
การที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในยามวิกฤตไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์
– ช่วงปี 1970s: ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและวิกฤตน้ำมัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 300%
– วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008: ในช่วงแรกที่เกิดวิกฤต ราคาทองคำกลับร่วงลง เพราะนักลงทุนเทขายทุกอย่างเพื่อถือเงินสด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อรัฐบาลเริ่มพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาทองคำก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างยาวนาน
บทเรียนสำคัญจากอดีตคือ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คน “สูญเสียความเชื่อมั่น” ในระบบการเงินและสกุลเงินกระดาษ พวกเขาจะหันกลับไปหาสิ่งที่จับต้องได้และมีมูลค่าในตัวเอง นั่นก็คือ “ทองคำ”
4. อนาคตของทองคำ: จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ?
สถาบันการเงินชั้นนำของโลกส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่าราคาอาจไต่ระดับไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือสูงกว่านั้นได้ภายในปี 2569
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ปัจจัยที่อาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้ คือ:
– ธนาคารกลางสหรัฐฯ เปลี่ยนใจ: หากเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นจน Fed ต้องชะลอการลดดอกเบี้ย หรือกลับไปขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง จะส่งผลลบต่อราคาทองคำอย่างมาก
– สถานการณ์โลกคลี่คลาย: หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและความขัดแย้งต่างๆ ยุติลง เงินทุนอาจไหลออกจากทองคำกลับไปสู่สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น
– สำหรับนักลงทุนไทย: ต้องจับตาทิศทาง “ค่าเงินบาท” อย่างใกล้ชิด หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น อาจทำให้ราคาทองในประเทศลดลงได้ แม้ว่าราคาทองในตลาดโลกจะยังคงที่ก็ตาม
5. ทองคำในบทบาทใหม่
การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในปี 2568 ไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบการเงินโลก ทองคำกำลังถูกมองในบทบาทใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ แต่เป็น “ทุนสำรองที่เป็นกลาง” ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้น การที่ราคาทะยานขึ้นครั้งประวัติศาสตร์นี้ อาจไม่ใช่จุดสูงสุด แต่เป็นการสร้างฐานราคาใหม่ที่สูงขึ้นสำหรับอนาคต

