วิเคราะห์ผลสำรวจ “สวนดุสิตโพล” เรื่อง “นโยบายเร่งด่วนรัฐบาลอนุทิน” ประชาชนกว่า 59% คาดหวังให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก บ่งชี้ว่าปากท้องยังเป็นประเด็นร้อน และคือบททดสอบครั้งใหญ่ของรัฐบาลใหม่
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง “นโยบายเร่งด่วนรัฐบาลอนุทิน” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,149 คน (ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2568) เผยแพร่วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เปรียบเสมือนกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนภาพความรู้สึกของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ในช่วงเริ่มต้นได้อย่างชัดเจน
ซึ่งความคิดเห็นที่ปรากฏออกมานั้น ไม่ใช่ “ช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์” ที่หอมหวาน แต่เป็น “ช่วงเวลาทดลองงาน” ที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความกังขา และแรงกดดันมหาศาล โดยมีระยะเพียง 4 เดือนก่อนการเลือกตั้งเป็นเครื่องชี้วัด
1. เสียงที่ดังที่สุดจากประชาชน: “เรื่องปากท้องต้องมาก่อน”
ผลสำรวจหัวข้อ 1 ตามที่นายกฯ แถลงนโยบายเร่งด่วน 5 ด้าน ประชาชนคาดหวังกับด้านใดมากที่สุด
อันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ สร้างรายได้ ลดรายจ่าย 59.36%
อันดับ 2 ด้านความมั่นคง แก้ปัญหาไทย–กัมพูชา ยกระดับคุณภาพชีวิตชายแดนใต้ 20.45%
อันดับ 3 ด้านสังคม ปราบการพนันผิดกฎหมาย ขจัดทุจริต 7.92%
อันดับ 4 ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ติดตั้งระบบเตือนภัย ช่วยผู้ประสบภัย 7.14%
อันดับ 5 ด้านการบริหารภาครัฐ เร่งพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและปฏิรูปกฎหมาย 5.13%
วิเคราะห์ผลสำรวจ
เสียงที่ดังที่สุดในโพลครั้งนี้คือความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ประชาชนกว่า 59.36% เทคะแนนให้ “ด้านเศรษฐกิจ สร้างรายได้ ลดรายจ่าย” เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากรัฐบาลมากที่สุด ทิ้งห่างประเด็นอื่นๆ อย่างไม่เห็นฝุ่น
อาจกล่าวได้ว่า ในสายตาของประชาชน นโยบายด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง (20.45%) หรือการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (5.13%) ล้วนถูกลดความสำคัญลงเป็นเรื่องรอง ตราบใดที่กระเป๋าเงินยังแฟบ ค่าครองชีพยังสูงลิ่ว ความต้องการของประชาชนก็คือแก้ปัญหาปากท้อง ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
2. ภาพลักษณ์รัฐบาลอนุทิน กับรัฐบาลแพทองธาร “แตกต่างอยู่บ้าง” แต่ไม่ถึงขั้น “เปลี่ยนแปลง”
ผลสำรวจหัวข้อ 2 ประชาชนคิดว่านโยบายของรัฐบาลอนุทินแตกต่างจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือไม่
อันดับ 1 แตกต่างอยู่บ้าง 57.96%
อันดับ 2 ไม่แตกต่างเลย 32.81%
อันดับ 3 แตกต่างอย่างมาก 9.23%
วิเคราะห์ผลสำรวจ
เมื่อถามว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้วหรือไม่ ประชาชนส่วนใหญ่ 57.96% มองว่า “แตกต่างอยู่บ้าง” ขณะที่อีก 32.81% มองว่า “ไม่แตกต่างเลย” เมื่อรวมสองกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน หมายความว่าคนกว่า 90% ไม่ได้มองว่ารัฐบาลนี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
มีเพียง 9.23% ที่รู้สึกว่า “แตกต่างอย่างมาก” การรับรู้นี้เป็นปัญหาเชิงภาพลักษณ์ที่สำคัญ เพราะมันทำให้รัฐบาลถูกมองว่าเป็นเพียงความต่อเนื่องจากอดีต และต้องแบกรับมรดกความไม่พอใจเดิมมาด้วย ภาระในการพิสูจน์ตัวเองว่าแตกต่างและดีกว่าจึงตกอยู่กับรัฐบาลอย่างเต็มที่
3: ระดับความเชื่อมั่น วิกฤตศรัทธาบนเส้นด้าย
ผลสำรวจหัวข้อ 3 หลังจากการแถลงนโยบาย ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอนุทินเพียงใด
อันดับ 1 ไม่ค่อยเชื่อมั่น 43.78%
อันดับ 2 ค่อนข้างเชื่อมั่น 42.12%
อันดับ 3 ไม่เชื่อมั่นเลย 9.40%
อันดับ 4 เชื่อมั่นมาก 4.70%
วิเคราะห์ผลสำรวจ
ในประเด็นความเชื่อมั่น ผลสำรวจได้เผยให้เห็นภาพของสังคมที่ถูกแบ่งครึ่งอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ “ไม่ค่อยเชื่อมั่น” มีสัดส่วน 43.78% ซึ่งแทบไม่ต่างจากกลุ่มที่ “ค่อนข้างเชื่อมั่น” ซึ่งอยู่ที่ 42.12%
ภาวะ “ก้ำกึ่ง” นี้สะท้อนว่ารัฐบาลไม่มีช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่เริ่มต้นจากการทำงานท่ามกลางความกังขา สถานะของรัฐบาลจึงเปราะบางอย่างยิ่ง
ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ กลุ่มที่ “ไม่เชื่อมั่นเลย” (9.40%) มีจำนวนมากกว่ากลุ่มที่ “เชื่อมั่นมาก” (4.70%) กว่าเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าขั้วความรู้สึกด้านลบนั้นมีความเข้มข้นและหนักแน่นมากกว่า
4. ผลงาน ความซื่อสัตย์ และคำสัญญา
ผลสำรวจหัวข้อ 4 สิ่งที่อยากบอกรัฐบาลอนุทินต่อการทำงานในช่วง 4 เดือนก่อนมีการเลือกตั้ง
อันดับ 1 อยากเห็นผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ค่าครองชีพ 31.33%
อันดับ 2 รักษาคำพูด ทำตามนโยบายที่ให้ไว้ 23.11%
อันดับ 3 ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน 15.56%
อันดับ 4 ดูแลความเป็นอยู่ของทหารและประชาชนแนวเขตชายแดน 15.11%
อันดับ 5 ปฏิบัติตามข้อตกลง MOA ที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน 8.44%
วิเคราะห์ผลสำรวจ
สิ่งที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ “อยากเห็นผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และค่าครองชีพ” ร้อยละ 31.33 รองลงมาคือ “รักษาคำพูด ทำตามนโยบายที่ให้ไว้” ร้อยละ 23.11 และ “ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน” ร้อยละ 15.56
เมื่อวิเคราะห์จาก 3 อันดับแรก สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนไม่ได้เรียกร้องเพียงนโยบายที่ฟังดูดี แต่ต้องการเห็นการลงมือทำจริง และต้องการความซื่อสัตย์ในทางการเมือง
โดยสรุปผลสำรวจฉบับนี้ได้ขีดเส้นใต้ไว้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลของนายกฯ อนุทินกำลังยืนอยู่บนเส้นด้ายทางการเมือง เวลา 4 เดือนคือบทพิสูจน์สำคัญ ที่จะตัดสินว่ารัฐบาลจะสามารถเปลี่ยนเสียงแห่งความกังขาให้กลายเป็นความเชื่อมั่นในสนามเลือกตั้งได้หรือไม่
ที่มา สวนดุสิตโพล : “นโยบายเร่งด่วนรัฐบาลอนุทิน”


