เพื่อไทย VS ประชาชน ศึกฝ่ายค้านสองขั้วเดือดในสภา ชิงบทบาทฝ่ายค้านในใจมวลชน เขย่าการเมืองไทยและเดิมพันอนาคตการเลือกตั้ง
เวทีการเมืองไทยหลังศึกโหวตเลือกนายกฯ ยังไม่ทันหายฝุ่นตลบ ก็เกิดปรากฏการณ์ “ฝ่ายค้านสองขั้ว” ที่สั่นสะเทือนสภา เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศจุดยืนเย้ยฟ้าท้าดิน ด้วยการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แต่ “ไม่ขอร่วมสังฆกรรม” ในวงวิปกับ “พรรคประชาชน”
นี่ไม่ใช่แค่การงอนทางการเมือง แต่มันคือการประกาศสงครามเย็น เป็นเกมชิงไหวชิงพริบที่เดิมพันด้วยความชอบธรรมและบัลลังก์ “ผู้นำฝ่ายค้านในใจประชาชน” ก่อนระฆังเลือกตั้งครั้งหน้าจะดังขึ้น
1. ตราหน้า “พรรคประชาชน” เป็น “ฝ่ายค้ำ” ไม่ใช่ “ฝ่ายค้าน”
ชนวนเหตุของรอยร้าวครั้งนี้ คือความไม่ไว้วางใจที่ “พรรคเพื่อไทย” มีต่อ “พรรคประชาชน” จากการยกมือโหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นเป็นนายกฯ โดยมีข้อตกลง MOA ร่วมกับ “พรรคภูมิใจไทย”
“พรรคเพื่อไทย” ไม่ได้แค่วิพากษ์วิจารณ์ แต่สาดกระสุนด้วยวาทกรรมสุดเจ็บแสบว่า “พรรคประชาชน” กำลังสวมบท “วิปฝ่ายค้ำ” ที่คอยอุ้มชูรัฐบาลเสียงข้างน้อย มากกว่าจะเป็น “วิปฝ่ายค้าน” ที่จะตรวจสอบรัฐบาล
พวกเขาตอกย้ำภาพลักษณ์นี้ด้วยการชี้ว่า พฤติกรรมในสภาของ “พรรคประชาชน” ทั้งการอภิปรายและการรักษาองค์ประชุม ล้วนมีลักษณะ “เกรงใจ” รัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด หนักข้อถึงขั้นตั้งคำถามว่า รัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อ “ยุบคดีสีน้ำเงิน” ไม่ใช่เพื่อ “ยุบสภา” ตามที่ป่าวประกาศไว้
แน่นอนว่า “พรรคประชาชน” ออกมาตอบโต้ โดยยืนยันว่าจะตรวจสอบรัฐบาลด้วยมาตรฐานสูงสุด และจะบีบให้รัฐบาลทำตามสัญญาใน MOA ให้จงได้ แต่ในเกมแห่งการรับรู้ “พรรคเพื่อไทย” ได้ชิงยิงกระสุนนัดแรกไปแล้ว และมันเข้าเป้าอย่างจัง
2. สมรภูมิแก้รัฐธรรมนูญ: เกมชิงบทบาท “พระเอก”
วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง ส.ส.ร. ซึ่งเป็นหัวใจของ MOA ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิเดือดที่ทั้งสองพรรคต่างต้องการเป็น “เจ้าภาพ” เพื่อช่วงชิงความดีความชอบ
“พรรคประชาชน” เดินเกมรุกด้วยการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตนเองต่อสภาเป็นพรรคแรก เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเขาคือผู้ผลักดันตัวจริง และโยนความกดดันไปให้รัฐบาลและ “พรรคเพื่อไทย” ทันที
แต่เพื่อไทยที่เคยมีจุดยืนเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2563 ก็สวนกลับอย่างมีชั้นเชิง ด้วยการท้าทายให้ “พรรคประชาชน”ไปเจรจาให้ “สว. สีน้ำเงิน” ของฝั่งรัฐบาลยกมือสนับสนุนให้ได้ เป็นการตบหน้าเบาๆ ว่าการยื่นร่างน่ะใครก็ทำได้ แต่การทำให้มันสำเร็จต่างหากคือของจริง
3. เชือดเฉือนรายวัน
นอกจากการปะทะในประเด็นใหญ่ ทั้งสองพรรคยังเปิดแนวรบย่อยผ่านการเมืองรายวันอย่างดุเดือด “พรรคเพื่อไทย” ชิงเปิดแผลด้วยการทวงถามนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของตนเองตอนที่ยังเป็นรัฐบาล
เป็นการโยนเผือกร้อนให้ “พรรคภูมิใจไทย” และ “พรรคประชาชน” ต้องรับผิดชอบ ขณะที่วิวาทะรายบุคคลก็สาดใส่กันไม่ยั้ง ตั้งแต่การเหน็บแนมกันในสภา ไปจนถึงสงครามน้ำลายบนโซเชียลมีเดียในประเด็น “ฝ่ายค้านลวงโลก” ที่ต่างฝ่ายต่างขุดอดีตมาฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
4. ศึกนี้เพื่อแย่งชิง “มวลชน”
อย่าได้มองว่านี่เป็นเพียงความขัดแย้งฉาบฉวย เพราะเบื้องหลังคือยุทธศาสตร์ที่มองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า “พรรคเพื่อไทย” กำลังเดิมพันทั้งหมดเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ “พรรคประชาชน” และสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “ฝ่ายค้านในใจประชาชน” เพียงหนึ่งเดียว เพื่อทวงคืนมวลชนฝั่งประชาธิปไตยที่เคยเสียไปกลับคืนมา
ส่วน “พรรคประชาชน” ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า การยอมถอยเพื่อรุกฆาตของพวกเขานั้นได้ผลจริง ด้วยการบีบให้รัฐบาลทำตามสัญญาให้สำเร็จ
เกมนี้ทำให้ “รัฐบาลของนายอนุทิน” ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอิจฉาและน่าปวดหัวในเวลาเดียวกัน เพราะแทนที่จะเจอฝ่ายค้านที่เป็นเอกภาพ กลับต้องรับมือกับแรงเสียดทานจากสองทิศทางที่แข่งขันกันเองเพื่อสร้างผลงาน สุดท้ายแล้ว ประชาชนคือผู้ที่จะตัดสินในสนามเลือกตั้งว่า ระหว่าง “ฝ่ายค้านเชิงยุทธศาสตร์” กับ “ฝ่ายค้านเชิงอุดมการณ์” ใครกันแน่คือคำตอบที่พวกเขาต้องการ

