“วิเคราะห์เชิงลึกข้อตกลงแร่หายากที่สหรัฐฯ ทำกับ ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แตกต่างกันอย่างไรในเชิงยุทธศาสตร์ กฎหมาย และเศรษฐกิจ? ใครได้ประโยชน์มากที่สุดในเกมห่วงโซ่อุปทานโลก”
สหรัฐอเมริกาเร่งสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน “แร่หายาก” หรือ “แร่ที่สำคัญ” กับประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก (ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย) ด้วยเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพียงหนึ่งเดียว การสร้างความมั่นคงของอุปทานและจำกัดอิทธิพลของผู้ผลิตที่ครองตลาด ในอุตสาหกรรมการแปรรูปแร่ที่สำคัญ
การลงนามในข้อตกลงเหล่านี้แสดงให้เห็นการวางหมากที่ซับซ้อนของสหรัฐฯ โดยแบ่งคู่ค้าออกเป็นสองกลุ่มหลัก ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในด้าน สถานะทางกฎหมาย และ กลไกการผูกมัดทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์นี้
1. จุดร่วม: การสร้าง “Strategic Bloc” เพื่อความมั่นคงทางอุปทาน
ไม่ว่าข้อตกลงจะมีรูปแบบใด สหรัฐฯ กำลังดำเนินการเพื่อสร้าง “กลุ่มยุทธศาสตร์ของคู่ค้าด้านแร่ที่สำคัญ”ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระดับโลก:
เป้าหมายการกระจายความเสี่ยง: สหรัฐฯ ตระหนักดีว่าการพึ่งพาผู้แปรรูปรายใหญ่เพียงรายเดียวคือความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ที่ยอมรับไม่ได้ ข้อตกลงจึงมุ่งเน้นการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานให้ยืดหยุ่น โดยเฉพาะในส่วนของการแปรรูป ซึ่งเป็นจุดที่มีอำนาจต่อรองสูงสุดในตลาดโลก
การสร้างมาตรฐานตลาดใหม่: สหรัฐฯ พยายามสร้างกลไกที่มุ่งจัดการกับความเสี่ยงจากการบิดเบือนราคาและการปฏิบัติทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ โดยสหรัฐฯ ต้องการผลักดันให้เกิดมาตรฐานตลาดใหม่ และใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับโครงการทางเลือกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตน
2. สถานะทางกฎหมายและกลไกผูกมัด
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือรูปแบบของเครื่องมือที่สหรัฐฯ เลือกใช้ ซึ่งสะท้อนความลึกซึ้งของการบูรณาการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของตน
กลุ่มที่ 1: Frameworks และ Agreements การผูกมัดเชิงกฎหมายและการเงิน (ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย)
ข้อตกลงกับสองประเทศนี้ถูกออกแบบให้เป็นกลไกที่ผูกพันทางปฏิบัติสูง และมีการใช้อำนาจทางกฎหมายและเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความผูกพันที่แข็งแกร่ง
(1) ญี่ปุ่น: Framework (CMA) และอำนาจกฎหมายเทียบเท่า FTA
สหรัฐฯ ลงนามใน United States-Japan Framework for Securing the Supply of Critical Minerals ซึ่งถูกเรียกว่า Critical Minerals Agreement (CMA) และที่สำคัญคือ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำหนดให้มีสถานะ อำนาจทางกฎหมายที่เทียบเท่า FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี)
กลไกนี้เป็นหัวใจสำคัญทางยุทธศาสตร์: การให้สถานะเทียบเท่า FTA มีเป้าหมายเพื่อ บีบให้ห่วงโซ่อุปทาน EV ของญี่ปุ่นต้องหันมาใช้แร่จากแหล่งทางเลือก เพื่อแลกกับ เครดิตภาษี EV สูงสุด 7,500 ดอลลาร์ ภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมุ่งควบคุมความเสี่ยงโดยการเสริมสร้างกลไกการทบทวนการลงทุนขาเข้าและขาออก
(2) ออสเตรเลีย: Landmark Framework และการค้ำประกันกลาโหม
ถูกลงนามในชื่อ Landmark Critical Minerals Framework ซึ่งมีผลผูกพันทางปฏิบัติสูง รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งใจจะลงทุนร่วมกับออสเตรเลีย มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และให้การค้ำประกันสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่าน Export-Import Bank
ข้อตกลงนี้เชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับมิติกลาโหม โดยมีการลงทุนของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในโรงกลั่นแกลเลียมในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแร่ที่สำคัญต่อยุทโธปกรณ์ และเชื่อมโยงกับการสนับสนุนกลุ่ม AUKUS
กลุ่มที่ 2: การเข้าถึงอย่างยืดหยุ่นผ่าน MOU (ไทย และ มาเลเซีย)
ข้อตกลงกับประเทศในอาเซียนใช้รูปแบบที่ยืดหยุ่นกว่า คือ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ประเทศเหล่านี้สามารถรักษาความเป็นอิสระทางนโยบายได้ โดย MOU เหล่านี้ ไม่ได้มีเจตนาให้ผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เน้นความร่วมมือในการถ่ายโอนเทคโนโลยีและการปฏิรูปธรรมาภิบาลเพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน
(1) มาเลเซีย: เกราะป้องกันราคาสำหรับการแปรรูปที่มีอยู่
มาเลเซียมีความสำคัญในฐานะฐานการแปรรูปแร่หายาก (Midstream Processing) ที่มีอยู่แล้ว (เช่น โรงงาน Lynas) สหรัฐฯ จึงมอบ มาตรการเชิงยุทธศาสตร์ ที่เฉียบคมใน MOU นั่นคือ กลไกกำหนด “ราคาพื้น (price floors) หรือมาตรการที่คล้ายกัน” ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อ รับมือกับการตัดราคา และรับประกันความสามารถในการทำกำไรของโรงงานที่ไม่ใช่ผู้ผลิตที่ครองตลาด
(2) ไทย: การขยายฐานเทคโนโลยีและศักยภาพในอนาคต
MOU กับไทยเน้นการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การวิจัยและการรีไซเคิล การสร้างศักยภาพด้าน การแปรรูปและการรีไซเคิล ตลอดวงจรชีวิตของแร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ในมิติเศรษฐกิจ
(3) ความแตกต่างเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมาเลเซียและไทย
– มาเลเซีย: ได้รับ กลไกป้องกันราคาพื้น โดยเน้นการปกป้อง ฐานการแปรรูปที่มีอยู่ ซึ่งเป็นส่วนกลางของห่วงโซ่อุปทานทางเลือก
– ไทย: มุ่งเน้นไปที่ การพัฒนาศักยภาพด้านการแปรรูปและการรีไซเคิล ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีเหมืองแร่หายากเชิงพาณิชย์ การสนับสนุนจึงเน้นไปที่การถ่ายโอนเทคโนโลยีและการเพิ่มมูลค่าภายในประเทศ
3. บทสรุป: การใช้ความหลากหลายเป็นพลังในการช่วงชิงอำนาจ
ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในการแข่งขันด้านแร่นี้ใช้ความหลากหลายของอาวุธ:
สำหรับกลุ่มบูรณาการ (ญี่ปุ่น/ออสเตรเลีย): ใช้กลไกผูกมัดทางกฎหมายและอำนาจทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงโดยตรง เพื่อสร้างความผูกพันที่แข็งแกร่งและรวดเร็ว
– สำหรับกลุ่มยืดหยุ่น (ไทย/มาเลเซีย): ใช้ความยืดหยุ่นของ MOU และมอบเครื่องมือเชิงนโยบายที่เฉียบคม (เช่น ราคาพื้นในมาเลเซีย) เพื่อสร้างเกราะป้องกันทางการค้า ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถเข้าร่วม “Strategic Bloc” ได้โดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยทางนโยบายมากเกินไป
นี่คือเกมหมากรบที่ใช้ทรัพยากรเป็นเครื่องมือในการต่อรองอำนาจ ซึ่งความหลากหลายในการใช้เครื่องมือย่อมหมายถึงความยืดหยุ่นที่ยั่งยืนในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์

