The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / Editor / คุยเรื่ององค์กรที่ทุกคนเป็นเจ้าของกับเพจพูด
Editor

คุยเรื่ององค์กรที่ทุกคนเป็นเจ้าของกับเพจพูด

ระวี ตะวันธรงค์
Last updated: 7 ก.ย. 2022 14:30
ระวี ตะวันธรงค์
Share
SHARE

“ในวัน ๆ หนึ่ง เพจพูดเขาทำงานกันยังไง?” เป็นคำถามแรกที่เข้ามาในหัวของผมหลังจากเป็นแฟนรายการมาพักใหญ่ แต่จริง ๆ ใจหนึ่งมันก็แอบสงสัยในสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยในที่ทำงาน” กับ “บริษัทที่ทุกคนเป็นเจ้าของ” ที่ตัวเพจเคยพูดถึงผ่านผลงานหลาย ๆ ชิ้น อาจเพราะด้วยความสงสัยในความไม่คุ้นชินกับโครงสร้างบริษัทแบบนี้ เลยทำให้ผมอยากมาชวนเขาคุยและขยายความหน่อย

ต้องขอเกริ่นคร่าว ๆ ก่อนว่าเพจพูดก่อร่างสร้างตัวโดยมีสมาชิกสี่คนคือ
ตวิษา หิรัณยากร (เอม)
ธนภรณ์ อัญมณีเจริญ (น่อม)
ภาณุ นาครทรรพ (นุ / ตานุ)
ฉัตรชัย พุ่มพวง (แชมป์)
ภาวิชช นาครทรรพ (วิชช / ตาแวะ)

ด้วยความที่เป็นแฟนคอนเทนต์ของพูดด้วย เลยขอวิสาสะแทนชื่อทีมงานเป็นชื่อที่เขาใช้ในพอดแคสต์ไปเลยก็แล้วกัน ระหว่างที่อ่านอยากให้ผู้อ่านจินตนาการตามว่ากำลังฟังพอดแคสต์ของพูดอยู่ ถึงนี่จะเป็นบทความที่มีภาพประกอบก็ตาม

จากซ้ายไปขวา: เอมมี่, น่อม, ตานุ, แชมป์, ตาแวะ

แชมป์: จริง ๆ เราไม่เคยนั่งใกล้กันขนาดนี้มาก่อนเลยนะ

ตาแวะ: นั่นนะดิ (หัวเราะ)

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

Toggle
  • ก่อนจะมาเป็นเพจ “พูด” แต่ละคนเคยทำงานอะไรมาบ้าง?
  • ทั้ง ๆ ที่เรียนจบจิตรกรรมมา อะไรทำให้เราทำได้หลายอย่างขนาดนี้?
  • ทำไมต้องชื่อว่า “พูด”?
  • การก่อร่างสร้างตัวของเพจเกิดขึ้นมาได้ยังไง ตอนนั้นเรามองศักยภาพของตัวเองยังไงบ้าง?
  • แต่ละวันเพจพูดทำงานกันยังไงบ้าง?
  • ก็คือพูดง่าย ๆ ว่าฟรีสไตล์กันเลยใช่มั้ยครับ? ยังไงก็ได้แค่งานเสร็จ
  • ขั้นตอนการเตรียมการในแต่ละงานอย่างไรบ้าง?
  • แล้วในด้านแอนิเมชั่นล่ะ?
  • การเป็นเพจให้ความรู้แสดงว่าต้องมาจากพื้นฐานการเป็นคนชอบอ่าน อ่านหนังสือกันเยอะขนาดไหน?
  • มาคุยเรื่องพอดแคสต์บ้างครับ ในส่วนนี้เราทำงานกันยังไง?
  • แล้วมีการเลือก subject แต่ละคนยังไงบ้างครับ? อย่างเช่นตอน “มุมดาร์กคนกวาดขยะ กทม.” นี่มาจากการเดินไปขอเขาเลยรึเปล่า?
  • เคยเจอปัญหาอะไรบ้างในการทำคอนเทนต์ท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มไปด้วย echo chamber ?
  • หมุดหมายสำคัญของเพจ อยากทำอะไรสุด ๆ อยากผลักดันเพจไปทางไหน?
  • วัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนเป็นเจ้าของบริษัท อยากให้ช่วยขยายความหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง?
  • กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ช่วงเปิดเพจจนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง?

ก่อนจะมาเป็นเพจ “พูด” แต่ละคนเคยทำงานอะไรมาบ้าง?

เอม: เริ่มที่เราเนาะ ก็คือตอนแรกเป็นครูศิลปะและเรียนปริญญาโทไปด้วย ตอนนั้นน่อมที่กำลังเรียนอยู่ต่างประเทศก็ชวนให้มาร่วมงานแต่เราก็ปฏิเสธไปเพราะอยากเรียกให้จบก่อน พอน่อมกลับมาจากต่างประเทศเราก็เรียนจบพอดีเลยเริ่มสนใจ บวกกับที่ ๆ เราสอนอยู่เขาย้ายสถานที่ตั้ง เราไม่สะดวกจะย้ายตามก็เลยมาร่วมทำค่ะ

น่อม: ตอนนั้นเราเรียกหลักสูตร Diploma อยู่ที่ออสเตรเลีย พอเรารู้ว่ามันมีโครงการให้ทุนสื่อหน้าใหม่ของรัฐบาลเลยชวนให้ภาณุมาร่วมกันทำ พอกลับจากต่างประเทศก็เลยได้ลองมาทำด้วยกันดู… แค่นั้นแหละค่ะ

ตานุ: ของเราคือหลังจากเรียนจบก็เล่นหุ้นเพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรแล้วตลาดหุ้นก็บึ้มเพราะว่าโควิด ประจวบเหมาะกับตอนที่น่อมชวนสำเร็จพอดีเลยมาคิดได้ว่าที่เล่นหุ้นส่วนหนึ่งก็คือหนีปัญหาแหละ มันเพิ่งเรียนจบอ่ะ แล้วในเมื่อเล่นหุ้นไม่ได้ก็เลยมาลองทำดูเผื่อว่าจะได้ทุน ตอนแรกก็คุยกันว่าถ้าไม่ได้ทุนก็จะเลิก แยกย้าย อะไรประมาณนั้น

แชมป์: ก่อนหน้านี้เราทำงานประจำมาก่อน ก็ย้ายงานไปสอง-สามที่แล้วก็โดนเลิกจ้างเพราะโควิดตอนต้นปี 63 แต่จริง ๆ ภาณุทาบทามมาตั้งแต่ปลายปี 62 แล้วแหละ พอได้คุยรายละเอียดก็เลยสนใจเพราะเราเริ่มคิดอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเอง

ตาแวะ: เราเข้าคนสุดท้ายเลยหลังจากที่พูดทำกันมาพอประมาณนึงแล้ว ก่อนหน้านี้เราเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี แต่ด้วยความที่สนิทกับพี่ (ภาณุ) แล้วก็เป็นคนที่ชอบหาความรู้ก็เลยอยากเข้ามาทำด้วยถึงงานที่ทำมันจะไม่ตรงสาย เพราะงานผู้ตรวจสอบบัญชีมันก็แอบเหนื่อย ต้องไปต่างจังหวัดบ่อย บางทีก็เลิกดึกเราเลยไม่รู้ว่าจะทำมันไปได้นานแค่ไหน

ตาแวะ: ตอนนั้นจำได้ว่านั่งกินเหล้าแล้วบลัฟกันเรื่องลาออก สุดท้ายก็เลยแบบ “เชี่ย ออกก็ออกวะ!” พอเข้ามาทำมันเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มเยอะพอดีแล้วภาณุเขียนบทคนเดียว พากย์ ทำสตอรี่บอร์ดด้วยตัวเองทุกอย่าง งานเลยเริ่มล้นมือ

ตานุ: แล้วอีกอย่างที่สำคัญก็คือไม่มีคนทำบัญชีบริษัทด้วยเพราะไม่มีใครจบบัญชีมา อันนี้ก็คือเป็นตำแหน่งเขียนบทกับนักบัญชีซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

ตาแวะ: เออก็คือพอเข้ามาก็ช่วยเขียนบทก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ทำงานเยอะขึ้น ตอนนี้ก็คือเขียนบทกับเขียนสตอรี่บอร์ดเป็นหลักแล้วก็ทำบัญชีด้วยซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อดีเรื่องนี้แหละเพราะว่าเข้าใจว่าบางทีบริษัทเล็ก ๆ แบบนี้จะไม่ค่อยมีพื้นฐานเรื่องบัญชีกัน พอเรารู้มันก็ทำให้ทำงานง่ายขึ้น อย่างเช่นเรื่องภาษีอะไรอย่างนี้

แชมป์: ภาวิชชก็เป็นคนดูแลพอดแคสต์ด้วย

ตาแวะ: อ๋อ ใช่ ๆ

แชมป์: ก็คือดูแลเรื่องการอัด การเทสไมค์อะไรแบบนี้

ตาแวะ: จริง ๆ เป็นคนอัดแล้วก็กดหยุดพอดแคสต์แค่นั้นแหละ (หัวเราะ)

ตานุ: มันไม่ใช่แค่นั้นดิ มันเช็คซาวด์ด้วย พวกความดังอะไรต่าง ๆ

ตาแวะ: เออนั่นแหละ เป็นมุข ๆ

ทั้ง ๆ ที่เรียนจบจิตรกรรมมา อะไรทำให้เราทำได้หลายอย่างขนาดนี้?

แชมป์: ต้องเท้าความก่อนว่าช่วงแรก ๆ อ่ะเรามีความอยากให้มันคล้าย ๆ ช่อง Vox

ตานุ: ใช่ ๆ คือเราก็ดูเอาว่าพวกวิดีโอจากเพจที่เราชอบเขานำเสนอคำพูดของเขาให้ออกมาเป็นวิช่วลยังไง อันนี้ก็ต้องให้เครดิตทีมแอนิเมชั่นเพราะว่าบางทีเราเขียนสตอรี่บอร์ดไปอย่างโง่เลยอ่ะ แล้วแผนกแอนิเมชั่นเขาก็จะไปเติมแต่งลูกเล่นหรือความละเอียดให้มันมากขึ้น

ตาแวะ: คืออย่างตอนนี้ผมเป็นคนเขียนสตอรี่บอร์ดใช่มั้ย วิธีการทำงานก็คือเขียนเป็นคำพูดอย่างเดียวไม่มีวาดอะไรในสตอรี่บอร์ด เป็นแค่ไดเรคชั่นคร่าว ๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ทีมกราฟฟิคไปจินตนาการทำต่อเอง แต่เราก็จะมีเขียนสไตล์ที่อยากได้กำกับเข้าไปด้วย ซึ่งสไตล์ที่ว่ามันก็มาจากการที่เราดูยูทูบหลาย ๆ ช่องนั้นแหละ พอเวลาอัดบทกันมันเลยชอบมีวิช่วลกระโดดเข้ามาในหัวเอง

ตานุ: มันเหมือนมีคลัง reference ในหัวเพราะดูมาบ่อย

ตาแวะ: ใช่ เพราะดูมาบ่อยก็เลยรู้ว่าอยากได้ภาพแบบไหน เรารู้สึกว่าวิช่วลมันสื่อสารได้ดีก็เลยเลือกจะทำแบบนั้น แต่ส่วนมากก็คือเน้นว่าทำยังไงก็ได้ให้คนเห็นแล้วเข้าใจเร็วที่สุด

แชมป์: เพราะว่าเพจเราทำไมนะ? พูดสโลแกนดิ๊ (หัวเราะ)

ตานุ: เล่าเรื่องอะไรนะ… เล่าเรื่องสนุก… เล่าเรื่องให้… แปปนึงนะ สโลแกนคืออะไรแล้ววะ

(หัวเราะกันพร้อมหน้า)

ตานุ: อ๋อ! สโลแกนตอนขอทุนคือเขียนว่า “เป็นเพจที่ให้ความรู้ แต่ดูแล้วก็สนุกด้วย”

เอม: เหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง

ทำไมต้องชื่อว่า “พูด”?

ตานุ: เรารู้สึกว่ามันเป็นเทรนด์ในช่วงนั้นที่ร้านอาหารมันจะชอบมีชื่อพยางค์เดียวอย่างร้านชื่อ “ป้อน” หรือ “หุง” อะไรอย่างนี้ แล้วพอฟังชื่อคือมันได้เซนส์ว่าเอกลักษณ์ของแบรนด์เขาคืออะไรอ่ะ เลยคิดว่าอยากตั้งชื่อเพจให้มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำซึ่งมันก็คือการพูดอ่ะ ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า “แพล่ม” แต่พอปรึกษาตาแวะ ๆ บอกว่าอย่าเลย คำว่าแพล่มมันไม่ใช่คำที่ทุกคนเก็ทขนาดนั้นอะไรอย่างนี้ ก็เลยเปลี่ยนเป็น “พูด” เท่านั้นแหละจบแล้ว… เกือบชื่อเพจแพล่มแล้ว (หัวเราะ)

ตาแวะ: มันไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจจริง ๆ นะว่าแพล่มแปลว่าอะไร

ผม: มันก็แอบเป็นศัพท์ที่แอบเฉพาะนิดนึงอ่ะเนาะ

เอม: แล้วถ้ามันเขียนเป็นภาษาอังกฤษมันก็จะไม่สวย มันอาจเพี๊ยนไปเป็น “แพล็ม” อะไรแบบนี้

แชมป์: เป็นแพล็มนี่จบเลยนะ (หัวเราะ)

การก่อร่างสร้างตัวของเพจเกิดขึ้นมาได้ยังไง ตอนนั้นเรามองศักยภาพของตัวเองยังไงบ้าง?

ตานุ: อย่างที่บอกไปว่าผมชอบเล่าเรื่องให้เพื่อนฟังอยู่แล้ว แล้วตอนนั้นไอ้น่อมมันไปเรียนแอนิเมชั่นมามันเลยรู้สึกว่าเราจับคู่กันได้ แต่ว่ามันไม่มีแรงจูงใจเพราะคิดว่าทำไปก็คงไม่รอดจนกระทั่งน่อมมันบอกว่ามีทุนรัฐบาลสำหรับสื่อหน้าใหม่เลยฟอร์มทีมกัน ก็ไปทาบทามแชมป์กับเอมมี่… แน่นอนอยู่แล้วแหละว่ามันไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะเป็นงานประจำได้ ช่วงแรกเลยเป็นการทำเพื่อขอทุน ก็ทำมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประกาศผลว่าเราไม่ได้ทุนแต่คนก็ติดตามเพจเป็นหมื่นแล้วก็เลยลุยกันต่อ ก็กินเงินตัวเองไปอีกไม่นานก็มีลูกค้าเข้ามา พูดก็เลยกลายเป็นบริษัทที่เป็นการเป็นงานแล้วก็เป็นงานของทุกคนจนถึงทุกวันนี้ครับ

แต่ละวันเพจพูดทำงานกันยังไงบ้าง?

ตาแวะ: ถ้าให้พูดคร่าว ๆ คือแต่ละคนทำงานไม่เหมือนกัน ทำเวลาไม่เท่ากัน ทำวันก็ไม่ตรงกันนะ 

ตานุ: แต่ว่าขอให้แค่งานเสร็จ

ตาแวะ: ใช่ คือเราก็มีเดดไลน์ว่าจะลงวิดีโอทุกอาทิตย์ ก็วางแผนล่วงหน้าอย่างเช่นเขียนบทก็เขียนก่อนสักสอง-สามอาทิตย์ประมาณนี้ แล้วก็มาวางสตอรี่บอร์ด ทำกราฟฟิค… ก็ทำให้มันเสร็จทันก็พออ่ะ ทุกคนจะรู้หน้าที่ตัวเอง

ตานุ: ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวันหยุดเราไม่เท่ากัน แต่ว่าไม่เท่ากันโดยจงใจเพราะบางคนขี้เกียจเช่นผมเนี่ย… คือไม่ใช่ว่างานเยอะอะไรหรอก

เอม: ต้องบอกว่าแต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่ไม่เหมือนกัน

ตานุ: ใช่ สมาธิสั้นชอบทำงานหลายวันแต่วันละน้อย ๆ

เอม: เอ้อ บางคนชอบทำรวดเดียวให้เสร็จแล้วก็พักยาว ๆ

ตานุ: คือเฉลี่ยแล้วมันไม่ได้มีใครมีเนื้องานมากไปกว่าใครเท่าไหร่ มันพอ ๆ กัน

ตาแวะ: คืออย่างกราฟฟิคเนี่ยเขาจะทำประมาณสามวันถึงสี่วันก็คือจันทร์ถึงพฤหัสฯ เพราะว่าเราลงวันพฤหัสฯ ก็เลยกะทำให้เสร็จวันพฤหัสฯ หรือไม่ก็วันพุธ ถ้าเป็นพี่นุจะทำหกหรือห้าวัน ก็คือพากย์วันละสอง-สามชั่วโมงแล้วก็มาเขียนบทบ้างอะไรอย่างนี้ ส่วนแชมป์ก็สาม-สี่วัน แต่ว่ามีหน้าที่เสริมคือคุยกับลูกค้ากับอัดพอดแคสต์ด้วย

ก็คือพูดง่าย ๆ ว่าฟรีสไตล์กันเลยใช่มั้ยครับ? ยังไงก็ได้แค่งานเสร็จ

แชมป์: ใช่ครับ บางทีพักกลางวันสามชั่วโมงด้วย (หัวเราะ) เราก็ค่อย ๆ ปรับอ่ะเพราะตอนแรกมันไม่ได้ทำอย่างนี้ ตอนแรกมันก็ทำขั้นต่ำห้าวันแล้วก็ปรับมาเรื่อย ๆ เราก็ทดลองวิธีการทำงานหลายอย่างจนลดเหลือสี่วัน พอมาปีนี้ก็เหลือวันทำงานแค่สามวัน

ตาแวะ: จริง ๆ จุดหนึ่งคิดว่าเพราะทุกคนเก่งขึ้นด้วยแหละ คือช่วงแรกก็อาจจะยังไม่คล่อง ปกติเขียนบทก็ใช้เวลาสอง-สามวัน พากย์เสียงเป็นอาทิตย์อะไรอย่างนี้ ตอนนี้เหมือนทำบ่อยจนทุกคนก็เริ่มคล่อง

ตานุ: เปลี่ยนวิธีการทำงานด้วย อย่างฝั่งตัดต่อที่ตอนแรกจะโยนวิดีโอให้แต่ละคนตัดคนละชิ้นเลย พอมาตอนหลังก็รู้ว่าสามคนรุมตัดต่อชิ้นอ่ะสบายกว่าเยอะ เพราะว่าแต่ก่อนจะมีความรู้สึกว่าถึงงานจะเสร็จช้าแต่มันจะมีงานตุนไว้ลงอยู่

เอม: ถ้าถามว่าเคยทำงานชิ้นหนึ่งนานแค่ไหนเนี่ย อย่างคลิปแรก ๆ นี่ทำตั้งแต่เช้ายันเย็นแต่ทำอยู่เดือนนึงก็ยังไม่เสร็จเลย

ตานุ: แล้วพากย์เสียงก็พากย์อยู่ครึ่งเดือนอ่ะ เพราะว่าทำไม่เป็น

เอม: ช่วงที่จะเอาวิดีโอไปส่งเอาทุนเนี่ย แค่ทำซับก็คือใช้เวลาหลายวันแล้วเพราะต้องเปลี่ยนไปมาให้ข้อความมันถูกที่สุด ไหนจะ fact check เรื่องข้อมูลอีก

แชมป์: จำได้เลยว่าคลิปวิดีโอแรก ๆ อ่ะตอนที่ตรวจซับอ่ะเครียดกันมากเลย แบบดูกันหลายรอบมาก

เอม: ใช่ พวกคำว่า เขา เค้า และ ก็ อะไรพวกนี้

แชมป์: แต่พอทำความเข้าใจตรงกันมันก็เหมือนร่นเวลาไปได้เยอะอ่ะ

ขั้นตอนการเตรียมการในแต่ละงานอย่างไรบ้าง?

ตานุ: ถ้าเป็นแต่ก่อนผมจะเป็นคนหาข้อมูลแล้วก็เขียนบท เขียนสตอรี่บอร์ด พากย์เสียงแล้วก็ส่งให้ทีมตัดต่อประมาณนี้ แต่ว่าหลัง ๆ ภาวิชชจะเป็นคนหาข้อมูล พอหาข้อมูลเสร็จเราก็มาเขียนบทกัน

ตาแวะ: เขียนบทกันสองคน

ตานุ: ใช่ รุมเขียนกันสองคนมันเร็วกว่าเยอะอ่ะ เป็นระบบว่าหาข้อมูลน่ะหาคนเดียว แต่รุมสองคนตอนเขียนบท

ตาแวะ: คือแบบถ้าเขียนบทคนเดียวเราจะคิดเยอะและเครียดกับตัวเองว่าแบบ ประโยคนี้กูจะเขียนออกมาให้หน้าตายังไงดี แต่พอมีสองคนก็จะเหมือนแค่พูดให้ฟัง

ตานุ: แบบพูดให้ฟังว่า “ประโยคต่อไปเอาอันนี้ดีป่ะ” แล้วเหมือนพอมันได้พูดประโยคนั้นออกมามันก็จะรู้เลยว่าคำนี้ได้หรือไม่ได้เลย

ตาแวะ: โปรเซสมันไวขึ้นเยอะพอเขียนสองคน

แชมป์: คือให้นึกภาพว่าการเขียนบทของเรามันไม่ใช่นั่งเขียน มันเป็นเหมือนนั่งคุยกันมากกว่า แล้วก็มีคนพิมพ์

ตานุ: ส่วนพวกฟุตเทจก็ให้คนที่เป็นคนเขียนสตอรี่บอร์ดต้องไปหาฟุตเทจ เพราะว่าก็จะต้องบอกเพื่อนว่าใช้ฟุตเทจอันนี้นะ

แชมป์: แล้วก็ต้องอธิบายในส่วนที่ไม่ใช้ฟุตเทจว่าจะเป็นโมชั่นกราฟฟิคหรือแอนิเมชั่นอะไรก็ว่าไป

ตาแวะ: สิ่งที่ช่วงหลัง ๆ เราทำก็คือว่าเราไม่ได้ใช้ฟุตเทจตรงกับที่พูดขนาดนั้นเพราะรู้สึกว่าบางทีมันไม่จำเป็นอ่ะ บางประโยคที่มันเข้าใจง่ายอยู่แล้ว มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยแค่วางรูปวางฟุตเทจแค่ให้เห็นไอเดียก็พอ ไม่ได้ถึงขั้นที่เป็นสิ่งที่เขาทำเป๊ะ ๆ ตามที่เราพูดเป๊ะ ๆ อะไรอย่างนี้

ตานุ: ซึ่งถ้าพูดถึงฟุตเทจที่อาจจะไม่ต้องเกี่ยวร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องถามเอมมี่เพราะว่าเอมมี่จะชอบไปหาฟุตเทจการ์ตูนมา

เอม: คือเราชอบดูการ์ตูนแล้วก็ถ้าดูคลิปของพูดมาก็จะเห็นว่าจะมีช่วงบางตอนที่คำพูดมัน abstract มากแบบ…

ตานุ: คือบางคำพูดมันไม่สามารถจะมีฟุตเทจไหนเกี่ยวกับมันได้ เช่นบอกว่า “เอาล่ะ แต่ว่ายังไงกันเนี่ย” อะไรอย่างนี้นึกออกมั้ย แบบมันเป็นคำเชื่อมอ่ะ มันไม่รู้จะเอาอะไรมาอุด เอมมี่จะเซียนเรื่องนี้มากเช่นอยู่ ๆ มันก็จะเอาฟุตเทจจากเรื่อง SpongeBob มาใส่ แล้วมันก็ลงตัวพอดี

เอม: คือเราดูการ์ตูนเยอะแล้วก็ชอบจำว่าฉากนี้มันตลกดี หรือซีนนี้มันสามารถเก็บเอาไว้ใช้ทำอะไรได้ เราก็จะส่งให้เพื่อนเอาไว้ใช้

แชมป์: มันจะมียุคนึงที่เรามีวิดีโอจตุรัสที่เรียกว่า “พูด มินิ” มันทำให้เราได้สั่งสมประสบการณ์การใช้มีมกับสต็อกโฟโต้ ใช้อีกรสนิยมนึงมาผสม มันก็เลยทำให้เรามีอุปกรณ์ในการอธิบายหรือเปรียบเทียบให้คนเข้าใจง่าย ๆ แบบเก็ทความรู้สึกว่าเราพูดถึงอะไรอยู่ประมาณนี้

ตานุ: การใช้มีมพูดมินิเป็นหนึ่งในฟุตเทจที่อาจจะไม่ต้องเกี่ยวเป๊ะ ๆ กับคำพูดก็ได้ แต่มันเวิร์คไง แล้วบางทีมันก็กวนตีนเหี้ย ๆ เลย อย่างในคลิป “พม่าไม่ได้เผากรุงศรี” ที่ในบทพูดจะบอกว่า “แม่ทัพพม่าเขาบอกว่ากรุงอโยธยาตียาก” เราก็ไปเอาฟุตเทจเบื้องหลังกองถ่ายที่สัมภาษณ์นักแสดงที่เล่นเป็นแม่ทัพพม่ามาอธิบายว่ามันตียากเว้ย

แล้วในด้านแอนิเมชั่นล่ะ?

ตานุ: อันนี้ต้องถามน่อมกับเอมมี่ อย่างน่อมก็พูดได้ว่าต้องไปอ่านหนังสือ หา reference แอนิเมชั่นที่ชอบอะไรอย่างนี้

น่อม: ก็ดูไปเรื่อย ๆ อ่ะ เราชอบดูพวกแอนิเมชั่นต่างชาติเยอะ ๆ พอดูเยอะก็รู้ว่าเขาใช้ทรานซิชั่นยังไง ตัดทอนยังไง เคลื่อนไหวยังไงให้คนเข้าใจง่ายขึ้น ดูแล้วก็คิดตามว่างานเราทำแบบนี้มันจะโอเคมั้ย

เอม: น่อมมันจะชอบส่งไอจีศิลปินที่ทำโมชั่นแล้วเป็น GIF มาให้ดูเอาแล้วก็ถามว่าคลิปนี้เอาแบบนี้มั้ย อะไรประมาณนี้

ตาแวะ: จริง ๆ มันก็คือ art director นั่นแหละ ที่นี่ทุกคนทำหลายตำแหน่งมาก สลับไปสลับมามั่วมาก (หัวเราะ)

ตานุ: คือน่อมมันเป็นคนที่ชอบดูแอนิเมชั่นทุกวันอยู่แล้ว สไตล์ต่าง ๆ ที่มันชอบมันก็เก็บไว้เยอะ เพราะฉะนั้นเวลามันต้องคิดแอนิเมชั่นมันก็จะมีแอนิเมชั่นในคลังสมองเยอะเหมือนกันที่จะเลือกเอามาใช้

แชมป์: จริง ๆ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นมันจะมีสตอรี่บอร์ดของเฉพาะส่วนที่เป็นแอนิเมชั่นหรือโมชั่น เอมมี่ทำยังไงหลังจากที่ได้บรีฟ

เอม: เราก็เอามาคุยกับน่อมว่าเราจะทำเป็นภาพยังไง แล้วเราก็มาดูว่าจะใช้สไตล์ไหนดี แต่ว่าสุดท้ายน่อมก็จะเป็นคนวาดมันออกมาแล้วกระจายไฟล์ให้แชมป์กับเรา พอกระจายไฟล์ไปก็จะเป็นหน้าที่ของแต่ละคน เรามีอีกหน้าที่หนึ่งคือตัดพาร์ทว่าใครจะทำตรงไหนบ้าง สมมติว่าได้เสียงมาเราก็จะเป็นคนตัดว่าโอเคพาร์ทนี้น่อมทำนะ เราทำนะ แชมป์ทำนะ แล้วก็เป็นคนตรวจซับด้วย คือเอาบทที่ใส่เรียงกันเยอะ ๆ มาทำเป็นซับ

การเป็นเพจให้ความรู้แสดงว่าต้องมาจากพื้นฐานการเป็นคนชอบอ่าน อ่านหนังสือกันเยอะขนาดไหน?

ตานุ: คือเราอ่ะจะชอบอ่านบทความกับดูวิดีโอมากกว่า ส่วนคนอื่นก็มีอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ภาษาไทย มันก็เลยเหมือนเสพทุกสื่ออ่ะ

ตาแวะ: แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงทำวิดีโอแบบนี้ออกมาน่าจะมาจากยูทูบซะเยอะ คือชอบดูช่องของฝรั่งแล้วบางทีมันก็จะเกิดความสงสัยไปเรื่อย ๆ เอง

ตานุ: ใช่ ๆ เพราะบางทีถ้าดูยูทูบในส่วนที่เป็นช่องความรู้ของฝรั่งมันจะมีทุกคำถามบนโลกเท่าที่จะคิดได้อ่ะ อย่างขี้มูกคืออะไรอย่างนี้ หรืออย่างคลิป “ฝุ่นทำจากอะไร ทำไมหน้าตาแบบนั้น?” อันนี้ก็ได้ไอเดียมาจากฝรั่ง คือถ้ามีความสงสัยมันก็ไปได้เรื่อย ๆ อ่ะ

ตาแวะ: บางทีเราก็ได้ไอเดียจากหนังสือที่อ่านเพราะอ่านทุกประเภทอยู่แล้ว ถ้ามันเจออะไรที่น่าสนใจก็จะเก็บไว้ แต่ก็ไม่ได้ใช้ความรู้เก่าที่มีมาทำนะ บางทีมันก็เป็นแค่ความสงสัยที่เกิดจากการอ่านบทความอื่นมาเฉย ๆ แล้วก็มาถามกันว่าจะทำเรื่องนี้มั้ย ถ้าทุกคนโอเคก็ไปศึกษาเพิ่ม

แชมป์: สิ่งที่เราทำมันคือการจับใจความอ่ะว่าเราจะอธิบายเรื่องนี้ให้คนอื่นเข้าใจได้ยังไง แล้วก็บวกกับความอยากรู้เหมือนกันเพราะว่าเราอยากรู้หลายเรื่อง… บอกว่าอยากรู้ทุกเรื่องเลยก็ได้

ตานุ: แต่จริง ๆ วิดีโอหลาย ๆ ชิ้นนี่เหมือนทำเพื่อตอบความอยากรู้ของตัวเองอ่ะ อย่างเรื่องเห็ดที่ทำไปล่าสุดนี่คือน่อมรีเควสมาแล้วก็ทำจริง ก็เลยได้รู้ว่าเห็ดคืออะไร

ตาแวะ: อย่างเรื่องที่เพิ่งทำไปเมื่อเดือนที่แล้วคือเรื่องสีม่วงอ่ะ อันนี้เราไปอ่านประวัติศาสตร์ของโรมันมาแล้วเหมือนเจอแค่มันเขียนไว้ท่อนนึงว่ามีอาชีพหนึ่งที่เป็นคนทำสีม่วงแค่สีเดียวเลย ก็รู้สึกว่าน่าสนใจเลยมาคุยกันว่าจะทำ

ตานุ: แล้วสุดท้ายก็ทำแล้วก็ได้เรื่อง “โลกยุคโบราณ: เมื่อสีม่วงแพงดั่งทอง!” ออกมา

ตาแวะ: ใช่ ก็มาจากอะไรประมาณนี้ ตอนนั้นที่อ่านก็รู้แค่นั้นแหละว่ามันมีอาชีพนี้ ก็ไปศึกษาปรากฏว่ามันมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะเลย

มาคุยเรื่องพอดแคสต์บ้างครับ ในส่วนนี้เราทำงานกันยังไง?

แชมป์: คือตอนแรกอ่ะเราก็คุยกันว่าจะทำแค่วิดีโอ การเกิดขึ้นของพอดแคสต์มันมาจากที่คนเขาคอมเมนต์มาเยอะมากเลยว่าจะทำมั้ย

ตานุ: ส่วนเรื่องการเลือกแขกเนี่ย มันจะมีช่วงที่เราร่วมงานกับ Common School ของคณะก้าวหน้า แล้วในคณะก้าวหน้าก็มี อ.ปิยบุตร ธนาธร หรือคนอื่น ๆ อยู่ ซึ่งมันก็แน่นอนว่าน่าเชิญเขามาออกพอดแคสต์เพราะว่าเขาก็เป็นคนที่น่าสนใจทั้งนั้นอ่ะ นี่เราก็เชิญมาออกเกือบหมดคณะแล้วมั้ง (หัวเราะ)

แชมป์: เราก็เริ่มจากแวดวงคนใน Common School ก่อนแล้วก็ไล่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงเราจะมีเนื้อหาที่หลากหลาย แต่จะมีซีรี่ส์หนึ่งที่เราเน้นก็คือซีรี่ส์ “มุมดาร์กคนทำงาน” ก็จะเชิญอาชีพต่าง ๆ ตั้งแต่พยาบาล คนกวาดขยะ คนทำงานกองถ่าย ไล่มาเรื่อย ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่ายังไม่มีพอดแคสต์ช่องไหนในไทยที่ทำเรื่องเกี่ยวกับแรงงาน ซึ่งถ้าได้ติดตามพูดมาก็จะเห็นว่ามีหลายวิดีโอที่เราพูดถึงขบวนการแรงงาน สหภาพแรงงาน เราสนใจเรื่องพวกนี้มาก ๆ และอยากที่จะทำให้เห็นว่าคนแต่ละอาชีพหรือคนทำงานประเภทต่าง ๆ เขาต้องเจออะไรบ้าง

ตาแวะ: แต่จริง ๆ มันก็เกิดจากความบังเอิญในระดับหนึ่งนะ คือนอกจากพูดเนี่ย แชมป์เขาก็ทำงานที่เกี่ยวกับแรงงานอยู่ด้วยก็คือ “สหภาพคนทำงาน” เลยรู้จักกับคนที่เอามาออกพอดแคสต์

ตานุ: พูดง่าย ๆ ว่าหลัก ๆ ของแขกคือถ้าไม่ได้มาจาก Common School ก็คือมาจากขบวนการแรงงานนี่แหละ

ตาแวะ: ใช่ บางคนที่เป็นเพื่อนก็มี ด้วยตัวเพจและตัวพวกเราเองก็อยากสัมภาษณ์คนให้เยอะมากที่สุดเพื่อจะได้เห็นมุมมองของคนแต่ละสายอาชีพในสังคม ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นโปรเจคที่จะทำไปยาว ๆ นะ

แต่พอดแคสต์มันง่ายกว่าทำวิดีโอเยอะ ส่วนมากก็คือถ้ารู้ว่าจะเชิญใครมาก็แค่เหมือนกับนั่งลิสท์คำถามกันคร่าว ๆ ว่าจะพูดเรื่องอะไรเฉย ๆ เช่นถ้าเป็นนักการเมืองก็จะพูดเรื่องนโยบายหรือปัญหาด้านหนึ่งของประเทศ ถ้าเป็นสายอาชีพก็จะเป็นปัญหาของอาชีพนั้น ๆ แล้วก็เป็นความคิดเห็นเรื่องการแก้ไข แล้วก็ส่งคำถามให้เขาดูล่วงหน้า

แชมป์: เรื่องแขกรับเชิญเนี่ย เราพยายามสร้างสมดุลระหว่างคนทั่วไปกับคนมีชื่อเสียงด้วยแหละ เราไม่อยากให้พอดแคสต์เรามีแต่คนมีชื่อเสียง

แล้วมีการเลือก subject แต่ละคนยังไงบ้างครับ? อย่างเช่นตอน “มุมดาร์กคนกวาดขยะ กทม.” นี่มาจากการเดินไปขอเขาเลยรึเปล่า?

แชมป์: อันนี้น่าจะเป็นอันแรก ๆ เลยมั้งที่ทำให้เรารู้สึกว่าน่าทำเป็นซีรี่ส์ จริง ๆ คำตอบมันก็อยู่ในคำถามแหละเพราะอย่างที่บอกว่าเราทำขบวนการสหภาพแรงงาน แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่เราทำโครงการศิลปะ เราก็ทำเรื่องไรเดอร์ส่งอาหาร คนกวาดขยะ คนทำงานโรงงานอะไรอย่างนี้ก็เลยไปขอสัมภาษณ์เขาแล้วก็ได้คอนแทคมาจากตรงนั้น มันเลยจุดที่ทำให้เราได้รู้จักเขา แล้วเราก็ชวนเขามาออกพอดแคสต์

ก็คือชีวิตในพูดก็จะวนเวียนอยู่กับขบวนการแรงงาน การเมือง เราเป็นคนที่ไปเชื่อมกับคนหลาย ๆ กลุ่มเพื่อที่จะเชิญมาออกพอดแคสต์ด้วย หรือบางครั้งก็เป็นภาณุกับภาวิชชที่มีเพื่อนที่เชี่ยวชาญเรื่องนั้น ๆ หรือบางทีก็เป็นน่อมที่อ่านหนังสือแล้วอยากคุยกับนักเขียนคนนั้น ๆ เราก็จะชวนเขามา

เคยเจอปัญหาอะไรบ้างในการทำคอนเทนต์ท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มไปด้วย echo chamber ?

ตานุ: คือคำถามนี้มันสามารถตีความได้สองอย่าง ผมตอบในแง่ที่ว่าตัวผมไม่ได้อยู่ใน echo chamber เพราะว่าผมไม่ได้ฟังแต่ฝั่งซ้าย… จริง ๆ เคยฟังแต่ฝั่งขวาอยู่ช่วงนึงด้วยเลยชินกับข้อโต้แย้งของเขาจนค่อนข้างมั่นใจว่ามันผิดหมดอ่ะ 

ผม: แบบ fact check งี้เหรอ?

ตานุ: อืม… ก็เลยคิดมาถึงจุดยืนทางการเมืองของตัวเองว่ามันไม่ได้มาจากการฟังฝั่งเดียว ถ้าฝั่งขวาผลิตข้อโต้แย้งที่มันถูกขึ้นมาเราก็ยินดีที่จะยอมรับว่าเขาถูกนะ แต่ว่าเขาแค่ไม่เคยทำแบบนั้นได้เท่านั้นเอง… แต่ช่วงนี้เราก็ทำเรื่องการเมืองน้อยลงไปนิดนึง

ตาแวะ: ส่วนตัวเรารู้สึกว่าวิดีโอของพูดมันไม่ได้ echo chamber เพราะเราแทบไม่เคยฟันธงอะไรเลยนะ มันเป็นการเสนอไอเดียมากกว่า มันเป็นการพูดให้คนเห็นภาพเปรียบเทียบกันมากกว่าว่าทำไมวิธีคิดแบบนี้ถึงมีอยู่แล้วทำไมมันถึงดี แต่ก็ไม่ได้บังคับว่ามึงต้องฟังกู คนอื่นแม่งเหี้ยอะไรอย่างนี้

ตานุ: แต่ว่าตัว audience จริง ๆ ก็ไม่ได้เห็นตรงกันเสมอไป เถียงกันเองบ่อยก็มี

แชมป์: จริง ๆ วิดีโอเราก็มีทัวร์ลงเยอะนะ

ตาแวะ: มันก็มีบางคนที่มาแบบไม่เห็นด้วยแต่มีเหตุผล แล้วมันทำให้เกิดดีเบตขึ้นในคอมเมนต์ที่เป็นดีเบตที่ดีอ่ะ มันทำให้เกิดความรู้ใหม่ คนที่เข้ามาร่วมก็จะรู้สึกว่าได้อะไรไปจากการที่เถียงกันเรื่องนี้

แชมป์: หรือเราเองในฐานะครีเอเตอร์ก็ได้อ่านความเห็น ได้เห็นว่าคนคิดยังไงหรือสะท้อนยังไงกับเนื้อหาของเรา มันก็สนุกแล้วก็เป็นธรรมชาติดี

แชมป์: แล้วเราก็ไม่ได้คอมเมนต์หรือบล็อกใคร ก็ให้คอมเมนต์ได้เต็มที่

หมุดหมายสำคัญของเพจ อยากทำอะไรสุด ๆ อยากผลักดันเพจไปทางไหน?

ตานุ: แน่นอนว่าเรื่องที่เพจพูดอยากผลักดันก็คือเรื่องรัฐสวัสดิการ เรื่องประชาธิปไตยในที่ทำงาน แล้วก็เรื่องขบวนการแรงงานเป็นหลักเพราะจะเห็นได้ว่ามันมีเรื่องนี้แทรกเข้าไปตลอดในการสร้างความเท่าเทียมในสังคม ทำไมเราถึงต้องมีขบวนการแรงงาน? เราจะทำยังไงให้ที่ทำงานเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น? ทำยังไงให้แรงงานมีปากมีเสียงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น? อันนี้ก็จะเป็นโปรเจคยาวที่ก็จะเห็นว่าแทรกเข้ามาในพูดตลอด

แชมป์: ทั้งในวิดีโอแล้วก็ในพอดแคสต์ด้วย ซึ่งตอนนี้ในพอดแคสต์ก็จะเยอะหน่อย

ตานุ: จริง ๆ จะบอกว่าเราทำเรื่องการเมืองน้อยลงก็ไม่ได้หรอก เรียกว่าคอนเทนต์วิดีโอหลักอ่ะไม่ค่อยการเมือง แต่ว่าพอดแคสต์อ่ะทำเรื่องการเมืองเยอะ

ตาแวะ: แต่จริง ๆ จุดมุ่งหมายก็คืออยากให้ประเทศนี้ดีขึ้นนั่นแหละ (หัวเราะ) คือรู้สึกว่าไหน ๆ เราก็มีเครื่องมือที่สามารถสร้าง awareness ให้เรื่องที่บางคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนได้ ยิ่งตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้หน้าที่ของตัวเองในฐานะพลเมืองที่มีผลต่อการเมืองและประเทศเลยรู้สึกว่าของแบบนี้มันขายได้ดีเลย

แชมป์: มันเหมือนว่าจริง ๆ แล้วส่วนหนึ่งที่พูดเติบโตจนถึงขนาดนี้ได้มันก็มาพร้อมกับขบวนการประชาธิปไตยด้วยส่วนหนึ่งด้วยอ่ะ มันก็เป็นเหมือนจุดก้าวกระโดดขึ้นมา… ก็นั่นแหละก็อยากผลักดันเรื่องที่ภาณุพูดเพราะมันนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนเป็นเจ้าของบริษัท อยากให้ช่วยขยายความหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง?

ตานุ: คือเวลาที่พูดถึงประชาธิปไตยอ่ะเราจะคิดแค่เรื่องไปเลือกตั้งถูกมั้ย แต่ว่าจริง ๆ คือระบบเศรษฐกิจมันสามารถเป็นประชาธิปไตยขึ้นก็ได้ เช่นตัวอย่างที่เรายกบ่อย ๆ ก็คือในยุโรปที่บางประเทศมีกฏหมายว่าถ้าคุณมีคนงานเกินเท่านี้ บอร์ดบริษัทจำนวนเท่านี้ต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือกฏหมายแรงงานของเขาที่แข็งแรง และแน่นอนว่าพอมีสหภาพที่แข็งแรงกว่าเรามากเนี่ย ตัวลูกจ้างหรือคนทำงานที่เป็นคนส่วนมากเขาก็ต่อรองคนส่วนน้อยที่มีเงินได้ มันอาจจะไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบแต่อย่างน้อยมันเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แล้วมันก็ทำให้ทุกคนมีชีวิตดีขึ้นไง 

แต่ว่าประเทศเราไม่เคยเห็นประชาธิปไตยในมุมนี้เลย เท่าที่สัมผัสได้จากหลาย ๆ คนคือมองประชาธิปไตยในแค่แง่การเมืองการปกครองส่วนเรื่องในบริษัทก็แล้วแต่เจ้านายเอา ในความเป็นจริงมันก็คือเป็นเรื่องการเมืองที่ใกล้ตัวเรากว่าในสภาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไงให้การเมืองในที่ทำงานของเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ผมสนใจคอนเซปต์นี้แล้วทุกคนก็เห็นด้วยเลยตั้งพูดขึ้นมาโดยใช้ความคิดที่ทุกคนเป็นเจ้าของบริษัทเท่ากัน แบ่งเงินเท่ากันแล้วก็ไม่มีใครเป็นหัวหน้าใคร

หลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่ทางเป็นไปได้หรอกที่จะให้เงินทุกคนเท่ากันเลยอยากขยายความตรงนี้หน่อยว่าพวกบริษัทที่ดำเนินกิจการในรูปแบบ cooperative (สหกรณ์ – ต่อไปขอใช้คำว่า co-op) ใหญ่ ๆ ก็ไม่ได้ให้เงินเท่ากัน แต่ความต่างจากบริษัททั่วไปคือบอร์ดบริหารของบริษัทมาจากการเลือกตั้งของคนงาน เพราะฉะนั้นถึงมันจะมีส่วนต่างแต่อย่างน้อยเงินเดือนของผู้บริหารมันยังยึดโยงกับคนส่วนมากในองค์กร 

สิ่งที่เราสัมผัสจากการบริหารองค์กรแบบนี้ก็คือมันดีทั้งในด้านสุขภาพจิต เงินในกระเป๋า แล้วทุกคนก็ตั้งใจทำงานด้วย และด้วยความที่ทุกคนเป็นเจ้านายมันก็เลยเหมือนไม่ได้มีแรงจูงใจที่จะต้องรีบขยายกิจการหรือรับคนเพิ่มเพื่อทำงานเยอะกว่าเดิม สุดท้ายมันได้ work-life balance ซึ่งเรื่องนี้นอกจากจะมีงานวิจัยมาสนับสนุนว่ามันดีกว่าแล้ว เราว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทำให้ทุกคนตั้งใจทำงานมันมาจากการที่เราทุกคนเป็นเจ้าของบริษัทอ่ะ คุณไม่ใช่แค่ลูกจ้างที่ถูกสั่งให้ทำงาน

แชมป์: คือถ้าเทียบกับตอนที่เราเคยทำงานที่ก่อน ๆ เรารู้และเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำแต่ถูกสั่งโดยหัวหน้าหรือเจ้าของบริษัททั้ง ๆ ที่บางทีเขาอาจจะไม่มีความรู้เรื่องนั้นก็ได้ พอมาทำพูดมันก็ได้คุยกันเรื่องงานว่าเราจะทำชิ้นนี้ดีมั้ย เราจะทำงานนี้ออกมาในลักษณะไหน ไปจนถึงเราจะเพิ่มงานดีมั้ย วิดีโอจะทำกี่ชิ้นต่อเดือน พอดแคสต์จะจัดกี่ตอน พอมาในเรื่องเงินเดือนเราก็มีสิทธิ์ตัดสินใจกันว่าจะขึ้นเงินเดือนรึเปล่า มันคือเกิดจากการตัดสินใจร่วมกัน

ตานุ: เอาง่าย ๆ เลยคือในระบบ co-op ผู้ถือหุ้นและคนทำงานคือสิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้นสุดท้ายในทางปฏิบัติ คนทำงานคือศูนย์กลาง ความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต รายได้และความสุขของคนทำงานคือศูนย์กลางของบริษัท แต่บริษัทแบบขนบทั่วไปจะมีศูนย์กลางก็คือทำยังไงให้พูดถือหุ้นแม่งรวยที่สุดอ่ะ มันจะต่างกันตรงนี้

ตาแวะ: คือถ้ามีคนที่เป็นสายธุรกิจจ๋ามามองก็คงรู้สึกว่าพูดมีโอกาสทำเงินมากกว่านี้ สามารถขยายรายได้ ผลิตวิดีโอได้แปดอันต่อเดือน หรือว่าจะเพิ่มลูกจ้างเพิ่มแผนกได้ แต่เรารู้สึกว่าเท่านี้ก็พอแล้วในระดับหนึ่ง เราแฮปปี้ดีแล้วกับงานที่ออกมาเท่านี้ เรารู้สึกว่าการทำน้อย ๆ อย่างนี้มันก็ทำให้มีคุณภาพดีด้วย มากกว่าการไปอัดกันเยอะ ๆ

กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ช่วงเปิดเพจจนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง?

ตานุ: สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือการได้ไปปะทะกับสังคม หมายความว่าพอผมได้แชร์ความคิดของตัวเองผ่านผลงานลงไปมันทำให้เราได้เห็นว่าเอ้อ คนมันคิดกันยังไง หรือเวลาที่ผู้ชมเสพผลงานเราแล้วเขามีข้อโตแย้งที่มีเหตุผลมันก็ทำให้เราต้องกลับมาลับวาทกรรมและข้อโต้แย้งของเราให้ดีขึ้น เราต้องออกแบบการเล่าเรื่องหรือการนำเสนอวิธีคิดของเราให้มันดีกว่านี้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่คิดว่าเรียนรู้มากที่สุดตลอดที่ทำพูด โดยเฉพาะในฐานะคนที่เขียนบท

ผม: เรียนรู้จากคลิปไหนมากที่สุดอ่ะ

ตานุ: อย่างคลิป “ทำไมไทยยังไม่มีรัฐสวัสดิการ??” เนี่ย คือเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชมจะให้ผลตอบรับเหมือนกันหมดคือในเชิงไม่เห็นด้วยเพราะภาษีในประเทศที่มีรัฐสวัสดิการมันแพง เราก็เลยทำอีกวิดีโออีกชิ้นคือ “ รัฐสวัสดิการ: “เห้ย แต่ภาษีเขาแพงอ่ะ!” ” เพื่อที่จะบอกว่าภาษีแพงแล้วมันทำไม พูดง่าย ๆ คือถ้าไม่เคยปะทะกับสังคมเราก็ไม่รู้ว่าคนคิดแบบนี้กันเยอะขนาดนี้ เราก็เลยได้รู้ว่าจะต้องตอบคำถามผู้ชมว่าทำไมการขึ้นภาษีมันถึงคุ้ม อะไรอย่างนั้นอ่ะ

ตาแวะ: สิ่งที่ได้เหรอ… สิ่งที่ได้ก็คือเพิ่งรู้ว่าตัวเองเขียนบทได้ (หัวเราะ) ก็คือเรียนบัญชี ทำบัญชีอยู่สามปี พอได้ทำงานที่นี่มันก็ค่อนข้างจะหลุดแนวจากเดิม คือเหมือนว่าพอมาเขียนบทจริง ๆ ก็เลยรู้ว่าที่เราอ่านหนังสือมามันช่วยแค่ไหน อย่างการวางประโยคให้มันเข้าใจง่ายอะไรอย่างนี้… คือบางทีของที่เราไม่เคยทำจริง ๆ บางทีมันก็ทำได้นะ ต้องลองดูก่อน

แชมป์: สิ่งที่เราเรียนรู้ชัดเจนมาก ๆ ตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมาคือคำว่าประชาธิปไตยในที่ทำงาน มันคือเครื่องมือที่จะทำให้คนส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้จริง ๆ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะมีทุนมาทำธุรกิจแบบ co-op มันก็เลยต้องมี “สหภาพแรงงาน” ไว้เป็นเครื่องมือให้คนทำงานได้ต่อสู้เพื่อค่าโอทีหรือวันหยุดกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เราไม่รู้ว่าอำนาจของเราคืออะไรมันก็เลยต้องมีสิ่งนี้เพื่อให้คนมันรวมพลังกันได้ ต่อรองสิ่งที่ทุกคนช่วยกันสร้างคืนมา อันนี้คือสิ่งที่เราเรียนรู้แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

เอม: ของเราก็คล้าย ๆ แชมป์ ตอนแรกคือเรามาเพราะเพื่อนชวนเท่านั้นแหละ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิด ไม่มีอะไรในหัวเลย พอได้มาทำพูดก็เลยเห็นข้อเปรียบเทียบกับที่ทำงานเก่าเพราะตอนนั้นเราเป็นแค่ลูกจ้าง เรามีหน้าที่สอนและถ่ายวิดีโอเพื่อไปตัดต่อทำโฆษณาให้กับโรงเรียนนี้ด้วย ถึงเราทำอยู่ที่นั่นมาปีกว่าแต่เรารู้สึกว่าฝีมือเรา วิธีการตัดวิดีโอของเรามันไม่ได้พัฒนาเลยเพราะการทำงานสอนห้าวันแถมต้องตัดวิดีโอให้เขาวันต่อวันมันทำให้เราไม่มีเวลาหาความรู้เพิ่ม แต่พอมาทำที่นี่เลยมีเวลาหาข้อมูลเพื่อพัฒนาตัวเองมากขึ้น แล้วก็เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นเจ้าของธุรกิจมันไม่ง่าย มันเหมือนมีอิสระแต่ถึงไม่เหนื่อยกายแต่บางทีก็เหนื่อยใจอ่ะ มันก็มีบางช่วงที่กังวลว่าธุรกิจเราจะไปรอดมั้ย

น่อม: เราเป็นคนที่ไม่มั่นใจอะไรเลย ไม่มั่นใจทุกอย่าง ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีรึยัง แต่พอทำงานกับคนหลาย ๆ คนแล้วเขาโอเคกับสิ่งที่เราทำก็เลยได้รู้ว่าเราทำให้มันได้นะ ข้อดีก็คือมันทำให้เราพัฒนาไปแบบไม่หยุดไง ถ้ามันยังไม่ดีก็ทำไปอีก ๆ

แชมป์: ขอสรุปจบแบบสั้น ๆ คือก็เราได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้วคนเรามันสามารถที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ได้ หลายอย่างที่เราไม่เคยทำอย่างการเขียนใบเสนอราคา หรือตัดต่อวิดีโอเราก็ได้มาทำและได้พิสูจน์ว่าเราทำได้ อยู่ที่นี่มันเหมือนได้ทดลองเต็มที่อ่ะเลยรู้สึกว่าจริง ๆ เราก็ทำอะไรได้หลายอย่างนะ คล้ายที่น่อมพูดคือมันเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองว่ากูก็ทำได้นี่หว่า

ภาพประกอบเสริม: ช่อง พูด

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
TAGGED:Pudyoutuberที่ทำงานประชาธิปไตยพูดเจ้าของร่วมกัน
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article “เฟมินิสต์” สู่ “เฟมทวิต” นิยามใหม่ในโลกทวิตเตอร์ของแนวคิดสตรีนิยม
Next Article ข่าว.jpeg : สะดวกคนอ่าน อันตรายคนแชร์ โทษร้ายสังคม
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

Editor

ความสุขในการทำเพลงของ Silvy และวันที่เธอเป็น Queen ผู้รักตัวเองแบบสุดต๊าซ!

By adisak.mha
Editor

เฟมินิสต์? หยิ่งทะนง? หลงตัวเอง? ตัวตนของ ‘แพง อรุณรัศมี’ จาก ‘มาตาลดา’ ทำเสียงวิจารณ์แตกเป็นสองฝั่ง

By ระวี ตะวันธรงค์
Editor

ประวัติศาสตร์สีรุ้งในอุตสาหกรรมดนตรีโลก

By ระวี ตะวันธรงค์
Editor

เมื่อผีป่ามาสู่เมือง : “ครูกายแก้ว” ศรัทธา และชายขอบของจักรวาลความเชื่อไทย

By adisak.mha
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.