ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย ไม่มีกรณีศึกษาไหนจะเจ็บปวดและชัดเจนเท่ากับชะตากรรมของ “พรรคประชาชน” (อดีตพรรคก้าวไกล) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
จากปี 2566 ที่พรรคถูกผลักให้เป็น “ผู้ถูกกระทำ” จนคะแนนนิยมพุ่งทะยาน มาสู่ปี 2568 ที่พรรคกลายเป็น “ผู้แพ้” ที่เรตติ้งดิ่งเหวจากการเสียท่าให้พรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ผลลัพธ์ปลายทางคือการ “ถูกหักหลัง” เหมือนกัน แต่ทำไมปฏิกิริยาของมวลชนถึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า “ใคร” เป็นคนหักหลัง แต่อยู่ที่ว่าพรรคประชาชน “เอาอะไรไปแลก” ในเกมนั้น
1. ปี 2566: แพ้อย่างทรงเกียรติ
เมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยฉีก MOU และข้ามขั้วไปจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาชน (ก้าวไกลในขณะนั้น) อยู่ในสถานะ “ผู้ถูกกระทำที่ยึดมั่นในอุดมการณ์”
ในสมรภูมินั้น พวกเขายืนหยัดในจุดยืน ไม่ยอมก้มหัวให้กลุ่มอำนาจเก่า เมื่อถูกเขี่ยทิ้ง ประชาชนจึงมองเห็นภาพของ “นักสู้ผู้โดดเดี่ยว” ที่ถูกระบบรุมรังแก ความโกรธแค้นจากการถูกเพื่อไทยหักหลัง จึงแปรเปลี่ยนเป็น “คะแนนสงสาร” และ “พลังศรัทธา” เพราะพรรคไม่ได้เสียสัจจะทางการเมือง

2. ปี 2568 : ผู้สมรู้ร่วมคิดที่เพลี่ยงพล้ำ
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน สถานการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพรรคประชาชนตัดสินใจเดินเกมเสี่ยงด้วยการโหวตสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้เงื่อนไขสำคัญเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภา
ทันทีที่มือของผู้แทนพรรคประชาชนยกขึ้นโหวตให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “ความศักดิ์สิทธิ์” ของพรรคก็มลายหายไปทันที เพราะนี่คือการไปจับมือกับคู่ขัดแย้งทางอุดมการณ์ที่รุนแรงที่สุด พรรคประชาชนเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้ถูกกระทำ” มาเป็น “ผู้เล่นเกมอำนาจ”
และเมื่อภูมิใจไทย “หักดิบ” ในประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนประกาศยุบสภา พรรคประชาชนจึงไม่ได้ดูน่าสงสารในสายตาประชาชน แต่กลับดู “อ่อนหัด” และ “เสียค่าโง่” ให้กับเขี้ยวลากดินทางการเมือง
3. ความแตกต่างของ “ต้นทุน”
- กรณีเพื่อไทยหักหลัง : พรรคประชาชน “ไม่ได้จ่ายอะไรเลย” นอกจากความไว้ใจ ต้นทุนทางอุดมการณ์ยังอยู่ครบถ้วน
- กรณีภูมิใจไทยหักดิบ : พรรคประชาชน “จ่ายล่วงหน้าด้วยศรัทธาของประชาชน” การยอมโหวตให้ฝ่ายตรงข้ามคือกาทิ้งไพ่ใบสำคัญที่สุดในมือ เมื่อถูกโกงไพ่ใบนั้นไป พรรคจึงล้มละลายทางความเชื่อถือทันที
ประชาชนรับได้ถ้าพรรคของพวกเขา “แพ้เพราะสู้” แต่รับไม่ได้หากพรรค “แพ้เพราะโดนหลอก หลังยอมสูญเสียจุดยืนทางการเมือง”

4. บทเรียนราคาแพงของพรรคประชาชน
ปรากฏการณ์นี้สอนบทเรียนราคาแพงว่า สำหรับพรรคการเมืองที่เติบโตมาด้วย “อุดมการณ์” และ “ความแตกต่าง” ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พรรคคู่แข่ง แต่คือการพยายามทำตัวเป็น “นักการเมืองอาชีพ” ที่คิดว่าตัวเองฉลาดพอจะเล่นเกมต่อรองอำนาจ แล้วนำต้นทุนศรัทธาของประชาชนไปเป็นเดิมพัน
เมื่อพรรคประชาชนทิ้ง “จุดยืน” เพื่อลงไปเล่นในบ่อโคลนแห่ง “ผลประโยชน์” พวกเขาจึงค้นพบความจริงที่เจ็บปวดว่า… ได้สูญเสียสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลไป นั่นก็คือศรัทธาของมหาชน

