“พรรคเพื่อไทย” กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาและความเปราะบางทางการเมือง “การกลับมา” ต้องกล้าผ่าตัดครั้งใหญ่ กอบกู้ความเชื่อมั่น เพื่อยืนหยัดในสนามการเมืองไทย
“ยกเครื่องพรรค-ยกเครื่องประเทศ” อีเวนต์ใหญ่ของ “พรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 เพื่อตอกย้ำแคมเปญ “เพื่อไทยจะกลับมา” ซึ่งบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ หวังเรียกความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่
แต่นั่นเป็นภาพที่ทางพรรคต้องการให้เห็น ในความเป็นจริงในวันนี้ สถานการณ์ของ “พรรคเพื่อไทย” ซับซ้อนและเปราะบางกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา การจะวิเคราะห์ว่าพรรคจะกลับมาได้หรือไม่นั้น ต้องมองผ่านปัจจัยหลายชั้นที่ทับถมกันอยู่
1. ศักยภาพการกลับมา: เมื่อจุดแข็งถูกบั่นทอน
การประเมินโอกาสของพรรคเพื่อไทย ต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง “ต้นทุนเดิม” ที่ยังพอมีอยู่ กับ “วิกฤตใหม่” ที่รุนแรงกว่าเดิม
1.1 ปัจจัยหนุน (ที่อ่อนแรงลง)
– แบรนด์และเครือข่าย
ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน แบรนด์ของพรรคและเครือข่าย สส. บ้านใหญ่ยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความภักดีนี้เริ่มสั่นคลอน
– ประสบการณ์บริหาร
ภาพลักษณ์ “พรรคทำงานเป็น” และมีประสบการณ์ ยังคงเป็นจุดขายเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองอื่น แต่ภาพนี้ก็ถูกทำลายความน่าเชื่อถือลงไปมาก จากการเป็นรัฐบาลมา 2 ปี แต่ไม่มีผลงานที่เด่นชัด
– ความผิดพลาดของคู่แข่ง
โอกาสของ “เพื่อไทย” ยังขึ้นอยู่กับความผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบัน หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเสถียรภาพทางการเมือง “เพื่อไทย” อาจถูกมองเป็น “ทางเลือกที่คุ้นเคย”
1.2 อุปสรรคสำคัญ วิกฤตศรัทธาสองชั้น (ที่รุนแรงและซับซ้อนขึ้น)
ชั้นที่หนึ่ง : การข้ามขั้วทางการเมือง
การตัดสินใจ “ข้ามขั้ว” จัดตั้งรัฐบาลครั้งก่อน ได้ทำลายความไว้วางใจของฐานเสียงฝั่งประชาธิไตยที่เคยเป็นผนังทองแดงของพรรค ทำให้คนกลุ่มนี้ย้ายไปสนับสนุน “พรรคประชาชน” เป็นจำนวนมาก
ชั้นที่สอง : การสั่นคลอนผลประโยชน์ชาติ
วิกฤต “คลิปเสียงฮุนเซน” ได้ซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาให้เลวร้ายลงไปอีก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณ์ แต่เป็นการตั้งคำถามถึงความสามารถในการปกป้อง “อธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ”
ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกของคนไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนอีสานใต้ที่อ่อนไหวกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ มันได้เปลี่ยนฐานที่มั่นที่เคยแข็งแกร่งที่สุดให้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป
1.3 ภาวะผู้นำที่เป็นสัญลักษณ์ของวิกฤต
“แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งเคยถูกวางตัวเป็นความหวังและตัวแทนคนรุ่นใหม่ บัดนี้กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาดครั้งรุนแรงที่สุดของพรรคเสียเอง สิ่งนี้สร้าง “ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
เพราะตราบใดที่ผู้นำยังเป็นศูนย์กลางของปัญหา การจะก้าวข้ามปัญหาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นใหม่จึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
1.4 คู่แข่งที่ชัดเจน
“พรรคประชาชน”ไม่เพียงแต่แย่งฐานเสียงคนรุ่นใหม่ แต่ยังสามารถวางตัวเป็น “ผู้ปกป้องหลักการ” ที่แท้จริงได้อย่างโดดเด่น ทำให้ “เพื่อไทย” ที่เคยเป็นผู้นำขั้ว บัดนี้กลับไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนพอจะไปต่อสู้ได้

2. การกลับมา: ไม่ใช่แค่การปฏิรูป แต่คือการไถ่บาป
จากอุปสรรคที่ซับซ้อนขึ้น ภารกิจของ “เพื่อไทย” จึงไม่ใช่แค่การปรับกลยุทธ์ แต่ต้องเป็นการกอบกู้ศรัทธาครั้งใหญ่
(1) กอบกู้ความไว้วางใจ
ภารกิจแรกสุด คือการจัดการกับวิกฤตศรัทธาสองชั้นนั้น พรรคต้องมีคำตอบที่จริงใจและชัดเจนต่อสังคม ทั้งเรื่องการข้ามขั้วและเรื่องคลิปเสียง การเงียบหรือปล่อยให้เวลาผ่านไป จะยิ่งทำให้บาดแผลเน่าเฟะ
(2) ปัญหาสำคัญ คือตำแหน่งหัวหน้าพรรค
พรรคต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งกับตำแหน่งหัวหน้าพรรค การปล่อยให้ “แพทองธาร” อยู่ในตำแหน่งต่อไปโดยไม่มีการจัดการวิกฤตภาพลักษณ์อย่างจริงจัง ก็เท่ากับแบก “ระเบิดเวลา” ที่ฝ่ายตรงข้ามพร้อมจุดได้ทุกเมื่อ การจะผลักดันคนรุ่นใหม่คนอื่นขึ้นมาก็ทำได้ยาก ตราบใดที่สัญลักษณ์ของปัญหายังอยู่ที่ยอดบนสุด
(3) สร้างนโยบายที่ “พิสูจน์ความจริงใจ”
นโยบายประชานิยมแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป พรรคต้องนำเสนอนโยบายที่สะท้อนวุฒิภาวะและความรับผิดชอบ เช่น นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปองค์กรต่างๆ , การต่างประเทศที่โปร่งใส หรือการสร้างสมดุลทางอำนาจ เพื่อลบล้างภาพจำจากเหตุการณ์คลิปเสียง
(4) ปรับกลยุทธ์การสื่อสารเชิงรับ
พรรคต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกโจมตีในประเด็นเดิมๆ และต้องสื่อสารอย่างมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่การตอบโต้ แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคได้เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ

3. แนวโน้ม สส. สมัยหน้า
3.1 สถานการณ์ที่ดีที่สุด (Best-Case Scenario)
หากพรรคกล้าตัดสินใจครั้งใหญ่ในเรื่องภาวะผู้นำ และสามารถกอบกู้ศรัทธาในพื้นที่อีสานใต้กลับมาได้บางส่วน ประกอบกับรัฐบาลชุดปัจจุบันทำงานผิดพลาดอย่างหนัก อาจจะได้ สส. ในระดับใกล้เคียง 100 ที่นั่ง แต่ขอย้ำว่า นี่คือสถานการณ์ที่ดีที่สุด
3.2 สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด (Most Likely Scenario)
หากพรรคไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้นำอย่างมีนัยสำคัญ ทำได้เพียงประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ จะสูญเสีย สส. ในเขตอีสานใต้และเขตเมืองอย่างถาวร แต่ยังรักษาฐานเสียงในบางจังหวัดที่ภักดีไว้ได้
ตัวเลข สส. น่าจะตกลงมาอยู่ในช่วง 60 ที่นั่ง (บวกลบ 10) ทำให้สถานะของพรรคเป็นเพียงพรรคขนาดกลาง แต่มีอำนาจต่อรองในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
3.3 สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst-Case Scenario)
หากพรรคยังคงเพิกเฉยต่อวิกฤตศรัทธา และเกิดกระแส “โหวตสั่งสอน” ในวงกว้าง ซ้ำเติมด้วยการที่ สส. เก่าไหลออกไปอยู่พรรคอื่น ตัวเลข สส. อาจจะดิ่งลงต่ำเหลือ สส. ไม่ถึง 50 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นจุดตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคอย่างแท้จริง
บทสรุป
พรรคเพื่อไทยกำลังยืนอยู่บนปากเหว การกลับมาไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายหรือเงินทุนอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญที่จะ “ยอมรับความจริง” และ “ผ่าตัดใหญ่” แม้จะต้องเจ็บปวดก็ตาม หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว การเดินทางของพรรคจากนี้ไปอาจไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อกลับมายิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงการดิ้นรนเพื่อประคองตัวไม่ให้เลือนหายไปจากการเมืองไทยเท่านั้นเอง

