วิเคราะห์ผลโพล “สวนดุสิตโพล” ในหัวข้อ “ณ วันนี้ประชาชนคิดว่าพรรคการเมืองใดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้” นัยยะในผลสำรวจ ที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา สวนดุสิตโพลได้เผยแพร่ผลสำรวจ “นโยบายเศรษฐกิจแบบแจก ช่วยจริงหรือแค่ชั่วคราว” โดยหัวข้อที่ The Insight จะนำมาวิเคราะห์ คือข้อที่ 5 ที่ว่าด้วย “ความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” นั้น มีนัยสำคัญและชี้ให้เห็นภาพรวมที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่การบอกว่าใครนำใครตาม แต่สะท้อนถึงสภาวะทางความคิดของประชาชนต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
1. ภูมิใจไทย: คะแนนนิยมจาก “อำนาจรัฐ”
ผลสำรวจในหัวข้อที่ว่า “ณ วันนี้ประชาชนคิดว่าพรรคการเมืองใดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้” ผลออกมาดังนี้
อันดับ 1 พรรคภูมิใจไทย 19.87%
อันดับ 2พรรคประชาชน 17.37%
อันดับ 3 ยังไม่เชื่อพรรคใด 16.63%
อันดับ 4 พรรคเพื่อไทย 13.13%
อันดับ 5 พรรคพลังประชารัฐ 5.15%
อันดับ 6 พรรคไทยก้าวใหม่ 4.24%

การที่ “พรรคภูมิใจไทย” ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 19.87% นั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “แต้มต่อของพรรครัฐบาล” (Incumbency Advantage)
ประชาชนเห็นว่า พรรคนี้เป็นแกนนำรัฐบาล และเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบันโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “คนละครึ่งพลัส” หรือมาตรการลดค่าครองชีพอื่นๆ เมื่อนึกถึงปัญหาเศรษฐกิจ ก็ย่อมนึกถึงรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจเป็นอันดับแรก
แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือ 19.87% ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนักสำหรับพรรคแกนนำรัฐบาล มันสะท้อนว่า แม้ประชาชนจะรับรู้บทบาทของพรรค แต่ก็ยังไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นอย่างท่วมท้น
เมื่อนำไปประกอบกับผลสำรวจในข้อ 1 และ 2 ที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่านโยบายรัฐบาลเป็นแบบ “แจกเงินหรือช่วยเฉพาะหน้า” (29.51%) และช่วยได้แค่ “ระยะสั้น” (80.72%) ก็ยิ่งชัดเจนว่า คะแนนที่ได้มานั้นมาจากสถานะปัจจุบันมากกว่าจะเป็นความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ระยะยาว
2. พรรคประชาชน และกลุ่ม “ยังไม่เชื่อพรรคใด”: คู่แข่งที่น่ากลัว
สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดไม่ใช่พรรคอันดับ 1 แต่เป็นอันดับ 2 และ 3
– “พรรคประชาชน” ได้ไป 17.37% ซึ่งหายใจรดต้นคอ “พรรคภูมิใจไทย” ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่ามีประชาชนกลุ่มใหญ่อีกขั้วหนึ่งที่มองหาทางเลือกใหม่ และเชื่อว่าพรรคนี้คือคำตอบในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วทางความคิดที่ยังคงชัดเจนในสังคม
– “กลุ่มที่ยังไม่เชื่อพรรคใด” มีสูงถึง 16.63% กลุ่มนี้คือ “ตัวแปรตัดสิน” (Swing Voters) ที่แท้จริง และเป็นกลุ่มที่ใหญ่เกือบจะเท่ากับฐานเสียงของสองพรรคแรก
การมีอยู่ของคนกลุ่มนี้สะท้อนถึงความเบื่อหน่าย หรือความไม่มั่นใจต่อทุกพรรคการเมืองที่มีอยู่ พวกเขายังไม่ถูกโน้มน้าวใจ ไม่ว่าจากนโยบายแจกของรัฐบาลปัจจุบัน หรือคำสัญญาของฝ่ายค้าน
เมื่อรวมคะแนนของ “พรรคประชาชน” และ “กลุ่มยังไม่เชื่อพรรคใด” เข้าด้วยกัน จะมีสัดส่วนถึง 34% ซึ่งมากกว่าคะแนนของ “พรรคภูมิใจไทย” อย่างมีนัยสำคัญ นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดสำหรับรัฐบาลว่า ประชาชนกลุ่มใหญ่มาก ยังคงกังขาและรอคอยทางเลือกที่ดีกว่า

3. เพื่อไทย: การตกชั้นจาก “ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ”
ในอดีตหากพูดถึงโพลในหัวข้อเศรษฐกิจ “พรรคเพื่อไทย” มักจะครองอันดับหนึ่งเสมอ แต่ในครั้งนี้กลับร่วงไปอยู่อันดับ 4 ด้วยคะแนนเพียง 13.13% นี่คือความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ
มันสะท้อนว่า “แบรนด์” การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เคยแข็งแกร่งของ “พรรคเพื่อไทย” ได้ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง ฐานเสียงอาจจะถูกแบ่งไปให้ “พรรคประชาชน” หรือย้ายตัวเองไปอยู่ใน “กลุ่มที่ยังไม่เชื่อมั่นพรรคใดเลย”
4. บทสรุปเชิงวิเคราะห์
ผลโพลหัวข้อ “ณ วันนี้ประชาชนคิดว่าพรรคการเมืองใดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้” ไม่ได้ชี้ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่กำลังบอกเราว่า
– สนามการเมืองเปิดกว้างอย่างยิ่ง
ไม่มีพรรคใดครองความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจได้อย่างเด็ดขาด ชัยชนะของ “ภูมิใจไทย” ในโพลนี้เป็นเพียงความได้เปรียบในฐานะรัฐบาล แต่ก็เป็นความได้เปรียบที่เปราะบางมาก
– อนาคตอยู่ในมือของคนที่ไม่เลือกใคร
“กลุ่มยังไม่เลือกพรรคใด” คือกุญแจสำคัญ พรรคการเมืองใดที่สามารถนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการระยะยาวของประชาชนได้ (ดังที่สะท้อนในคำถามข้อ 3 และ 4 ที่อยากให้รัฐลงทุนแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสร้างอาชีพระยะยาว) พรรคนั้นก็มีโอกาสที่จะดึงคนกลุ่มนี้มาเป็นฐานเสียงของตัวเองได้
– ความท้าทายของรัฐบาล
“รัฐบาลอนุทิน” ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพวกเขามีดีกว่านโยบาย “เยียวยาเฉพาะหน้า” เพราะประชาชนกำลังรอคอยการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการน้ำและการสร้างรายได้ในระยะยาว หากทำไม่ได้ คะแนนนิยมที่เห็นอยู่นี้ก็พร้อมจะเทไปให้คู่แข่งหรือกลุ่มพลังเงียบได้ทุกเมื่อ
โดยสรุป ภูมิทัศน์ทางการเมืองด้านเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะ “สามเส้า” ที่ขับเคี่ยวกันระหว่าง ขั้วรัฐบาล (ภูมิใจไทย), ขั้วทางเลือก (ประชาชน), และ ขั้วพลังเงียบ (ยังไม่เลือกใคร) การต่อสู้จากนี้ไปจะเข้มข้นอย่างยิ่ง และเดิมพันคือความเชื่อมั่นของประชาชน ที่จะส่งผลกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป

5. ผลสำรวจในหัวข้ออื่นๆ
5.1 ประชาชนคิดว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทินเป็นแบบใด
อันดับ 1 เน้นแจกเงินหรือช่วยเฉพาะหน้า 29.51%
อันดับ 2 ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจน 28.26%
อันดับ 3 ทั้งแจกและพัฒนาไปพร้อมกัน 21.86%
อันดับ 4 สร้างงานและเพิ่มรายได้ในระยะยาว 20.37%
5.2 นโยบายแบบ “แจกเงิน–ลดภาระชั่วคราว” ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด
อันดับ 1 ช่วยได้ในระยะสั้น 80.72%
อันดับ 2 ช่วยได้มาก 11.64%
อันดับ 3 ไม่ช่วยเลย 7.64%
5.3 ถ้ารัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ประชาชนอยากให้ใช้กับเรื่องใดมากที่สุด
อันดับ 1 ลงทุนจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง 53.72%
อันดับ 2 พัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ระยะยาว 51.96%
อันดับ 3 ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม 49.37%

5.4. ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควรแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างไร จึงจะคุ้มค่าและยั่งยืน
อันดับ 1 จัดท้าแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการระดับประเทศ 67.17%
อันดับ 2 ลงทุนสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมระยะยาว เช่น เขื่อน แก้มลิง บายพาสน้ำ 58.23%
อันดับ 3 ฟื้นฟูอาชีพและเศรษฐกิจในพื้นที่น้ำท่วมหลังน้ำลด 54.05%
อ้างอิง สวนดุสิตโพล : “นโยบายเศรษฐกิจแบบแจก ช่วยจริงหรือแค่ชั่วคราว” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,203 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 7-10 ตุลาคม 2568

