การวิเคราะห์ผลโพลความคิดเห็นจากสถาบันสำรวจชั้นนำ 3 แห่ง ที่สะท้อนภาพรวมทางการเมืองไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ผ่านข้อมูลจากสวนดุสิตโพล นิด้าโพล และอุดรโพล
สรุปการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองในไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่เปรียบเทียบโพลจาก 3 สถาบัน สวนดุสิตโพล, นิด้าโพล และ “อุดรโพล” ที่จัดทำโดย “อุดรโพล” เผยให้เห็นภาพรวมของทิศทางการเมืองที่มีทั้งความต่อเนื่องและความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักศึกษา ซึ่งโพลแต่ละแห่งมีจุดเน้นและกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้มีมุม “เฉพาะเจาะจง” ซึ่งเสริมภาพรวมของประเทศให้ครบถ้วนขึ้น
โพลแต่ละแห่งและกลุ่มตัวอย่าง
สวนดุสิตโพล / ช่วงเวลาสำรวจ 9–12 กันยายน 2568 / ประชาชนทั่วประเทศ 1,232 คน
นิด้าโพล / ช่วงเวลาสำรวจ หลายครั้งในครึ่งปี 2568 / ขนาดตัวอย่าง 1,310–2,500 คนทั่วประเทศ
อุดรโพล / 10–15 กันยายน 2568 เน้นนักศึกษา / คนรุ่นใหม่ในจังหวัดอุดรธานี 831 คน
อุดรโพลโดดเด่นในการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง “นักศึกษา / คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะช่วงอายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ “First-time voters” หรือเพิ่งเริ่มมีสิทธิเลือกตั้ง / มีแนวโน้มทางการเมืองที่ยังไม่ตรึงอยู่กับอดีตมากนัก
ผลสำคัญ (Main Findings)
จากการรวบรวมผลโพลทั้งหมด มีหลายประเด็นที่น่าสังเกต ดังนี้
1. ความนิยมพรรคการเมืองและผู้นำ
- “พรรคประชาชน” อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอย่างต่อเนื่องในหลายโพล เช่น “สวนดุสิตโพล” แสดงให้เห็นว่า “พรรคประชาชน” ได้รับคะแนนนิยมสูงสุด
- “นิด้าโพล” เผยว่านักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไตรมาส 2/2568 คือ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” จากพรรคประชาชน โดยคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 25.80% เป็นประมาณ 31.48% (ก่อนโหวตนายกฯ 5 ก.ย.)
- ขณะเดียวกัน “พรรคเพื่อไทย” แม้มีประวัติและฐานเสียงเดิม พบว่า คะแนนนิยมลดลงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ / กลุ่มนักศึกษาโดยเฉพาะในการสำรวจของอุดรโพล
2. กลุ่มลังเล / ยังไม่ตัดสินใจ (“กลุ่มอ่อนไหว”)
- กลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจหรือ “ไม่เลือกใคร” มีสัดส่วนค่อนข้างสูงในทุกโพล โดยเฉพาะใน “อุดรโพล” ตัวเลขสูงถึง 36.1% ในหมู่นักศึกษาในอุดรธานี
- ยังมีสัดส่วนคนไม่มั่นใจ / “ไม่แน่ใจ” ต่อประเด็นสำคัญทางการเมือง เช่น ผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย ฯลฯ มากกว่าที่คิดไว้
3. มุมมองคนรุ่นใหม่ / นักศึกษา
- มีแนวโน้ม “โหวตโน” (ไม่เลือกใคร) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มนี้ แสดงถึงความไม่พอใจต่อตัวเลือกทางการเมืองปัจจุบันหรือการเมืองแบบเดิม
- มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในการดำเนินคดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดยคนรุ่นใหม่มองในหลากหลายแง่มุม — บ้างว่า “ไม่เท่าเทียม” บ้าง “ถูกต้องตามกฎหมาย” แสดงถึงความเห็นที่ไม่เป็นเอกภาพ
- นักศึกษามีความคาดหวังในเรื่องการเมืองใหม่ ๆ เช่น ความโปร่งใส การตรวจสอบรัฐบาล/ฝ่ายค้าน และการทำงานเชิงรุกของรัฐบาล
4. ความไม่แน่นอน / ความสับสนของประชาชน
- หลายประเด็นคนรุ่นใหม่ “ไม่แน่ใจ” ว่าเหตุการณ์การเมืองจะส่งผลอย่างไรต่อพรรคต่างๆ หรืออนาคตประเทศ
- มีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง – ทั้งในโครงสร้างการเมือง, นโยบาย, หรือวิธีการดำเนินงานของพรรคการเมืองและรัฐบาล
การเปรียบเทียบระหว่างโพล
- โพลที่มีขนาดตัวอย่างกว้าง (สวนดุสิตโพล, นิด้าโพล) ให้ภาพรวมของประเทศ เห็นแนวโน้มความนิยมของพรรคหลัก, ความคาดหวังของประชาชนทั่วไป, และกลุ่มลังเลที่มีอิทธิพลสูง
- “อุดรโพล” เติมเต็มช่องว่างโดยให้มุมมองจากกลุ่มคนรุ่นใหม่/พื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งมักจะไม่ถูกสำรวจเชิงลึกในผลสำรวจทั่วไป เผยแนวโน้มที่แตกต่าง เช่น โหวตโนสูง, มุมมองต่อทักษิณที่ซับซ้อน, ความนิยมต่อพรรคการเมืองเดิมลดลงในกลุ่มนี้
นัยยะทางการเมือง
จากการวิเคราะห์ผลโพลทั้งหมด นี่คือสิ่งที่พรรคการเมือง / นักวางนโยบาย /ผู้มีอำนาจควรให้ความสนใจ
1. พรรคการเมืองต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น
เพราะคนกลุ่มนี้มีอิทธิพลสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีเสียงสะท้อนที่อาจจะเปลี่ยนขั้วอำนาจถ้ามีทางเลือกที่ตอบโจทย์
2. การเมืองแบบเก่าอาจไม่เพียงพอ
ปัญหาปากท้อง, ความโปร่งใส, ความยุติธรรม, การดำเนินคดี, การคืนความเชื่อมั่น — เป็นประเด็นที่คนรุ่นใหม่สนใจ ส่วนแนวคิดเรื่องขั้วอำนาจเก่า-ใหม่ และชื่อของอดีตผู้นำ อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับคนกลุ่มนี้อีกต่อไป
3. กลุ่ม “ไม่เลือกใคร / ยังไม่ตัดสินใจ” เป็นกุญแจ
หมายถึงว่าคะแนนเลือกตั้งยังไม่แน่นอน ใครที่สามารถดึงกลุ่มเหล่านี้ได้ก่อน อาจได้เปรียบมาก
4. ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเมือง
ถ้าคนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้สึกว่าไม่มีตัวเลือกที่ดี หรือไม่เชื่อมั่นในระบบ อาจเกิดแรงดึงดูดให้มีแนวทางเคลื่อนไหวทางเลือกใหม่ ๆ ซึ่งอาจไม่อยู่ในกรอบการเมืองเดิมเสมอไป
สรุป
ผลโพลในปี 2568 สะท้อนว่า แม้พรรคการเมืองหลักยังได้เปรียบในภาพรวม แต่ “แรงสะเทือนทางความคิด” กำลังเกิดขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ นักศึกษา และกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ พวกเขาร้องขอความเปลี่ยนแปลงจริง, ความเข้มงวด, ความโปร่งใส และมีแนวโน้ม “โหวตโน” สูง ซึ่งถ้าพรรคไหนไม่ปรับตัว อาจสูญเสียฐานเสียงสำคัญในอนาคต

