เจาะลึกความแค้นระหว่าง เพื่อไทย และ ภูมิใจไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน และความจำเป็นที่อาจทำให้ต้องจำใจจับมือกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในโลกของการเมืองไทย ไม่มีคำว่า “มิตรแท้” หรือ “ศัตรูถาวร” มีเพียง “ผลประโยชน์” เท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ วาทกรรมสุดคลาสสิกนี้กำลังถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งที่สุดผ่านความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย
จากอดีตคนกันเอง สู่ศัตรูคู่อาฆาต ที่หักเหลี่ยมกันจนเลือดซิบ แต่ท้ายที่สุด โชคชะตาและคณิตศาสตร์การเมืองกำลังบีบให้ทั้ง 2 พรรคกลายเป็น “คู่กรรม” ที่ต้องกอดคอกันเดินต่อไป หลังผลเลือกตั้งครั้งใหม่ออกมา
1. ปฐมบทความแค้น: แผลลึกที่ไม่มีวันจาง
หากย้อนกลับไปมองจุดเริ่มต้น ความแค้นนี้ไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรี” ทักษิณ ชินวัตร เคยไว้ใจ เนวิน ชิดชอบ ดั่งมือขวา แต่เมื่อลมการเมืองเปลี่ยนทิศ วลีอมตะ “มันจบแล้วครับนาย” ไม่ได้เป็นเพียงคำบอกลา แต่คือการ “ถีบหัวส่ง” และสนับสนุนให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ
แผลใจครั้งนั้นทำให้เครือข่ายทักษิณ ซึ่งต่อมาคือ “พรรคเพื่อไทย” มองเนวินราวศัตรูคู่อาฆาต ซึ่งต่อมาเขาก็กลายมาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคภูมิใจไทย
2, ศึกชิงอำนาจ เมื่อเสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

การจับมือข้ามขั้วตั้งรัฐบาลในปี 2566 เป็นเพียง “การพักรบชั่วคราว” เพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) แต่ความสงบนั้นเปราะบางยิ่งนัก
รอยร้าวแตกโพละเมื่อเพื่อไทยพยายามทวงคืน “กระทรวงมหาดไทย” หัวใจสำคัญของการคุมกลไกราชการท้องถิ่น การบีบ “อนุทิน” พ้น มท.1 คือการประกาศสงครามที่ภูมิใจไทยยอมไม่ได้ และนำมาสู่เกมเชือดเฉือนที่โหดเหี้ยมอำมหิต…
โดยหลังจากเกิดกรณีคลิปเสียงฮุนเซน – แพทองธาร หลุดออกมา จนสร้างความโกรธให้กับประชาชน “พรรคภูมิใจไทย” ก็ชิงจังหวะดังกล่าว ประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
ต่อมาเมื่อ “แพทองธาร” ถูกศาลตัดสินให้หลุดจากตำแหน่งนายกฯ ภูมิใจไทยที่เตรียมการต่างๆ พร้อมไว้แล้ว ก็ใช้ความเก๋าทางการเมือง จนได้กลายเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล โดยจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่เสียงสนับสนุนของ “พรรคประชาชน” ที่ยอมโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ ภายใต้เงื่อนไข ยุบสภาภายใน 4 เดือน และจัดทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ

อนาคตหลังเลือกตั้ง: คู่กรรมทางการเมือง
ปัจจุบันแม้ทั้งสองพรรคจะห้ำหั่นกันจนดูเหมือนผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ แต่เมื่อมองข้ามช็อตไปถึงหลังการเลือกตั้งใหม่ ก็พบความจำเป็นที่ทั้ง 2 พรรค จะต้องจับมือกันให้มั่น หลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคประชาชนจะมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้ สส. ระดับ 200 +
พรรคอันดับ 2 และ 3 ซึ่งคาดว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย และเพื่อไทย จึงจำเป็นและจำใจต้องจับมือรวมกัน ถึงจะมีเสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งได้ เพราะหากแยกกันเดิน ก็เท่ากับปูพรมแดงให้พรรคประชาชนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล
ดูเหมือนว่าเส้นทางข้างหน้า ทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย อาจถูกสถานการณ์บีบให้ต้องร่วมลงเรือลำเดียวกันอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะรัก… แต่เพราะถ้าไม่จับมือกัน เรือลำนี้อาจจะจมลงทั้งคู่ท่ามกลางคลื่นลมสีส้มที่โหมกระหน่ำ
รอเพียงเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หมากกระดานนี้จะจบลงตามสูตรสำเร็จหรือไม่ ?

