ปฏิญญาสู่สันติภาพได้ถูกทุ่นระเบิดกัมพูชาทำลายไปแล้ว และปัจจุบันไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปฏิบัติการทางทหารที่ไม่อาจประนีประนอม เพื่อส่งสารอันทรงพลังว่า การทรยศต่อคำมั่นสัญญาแห่งสันติภาพ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างสาสม
จากกรณีที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส จากทุ่นระเบิดที่ถูกลักลอบนำมาฝังใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และเป็นการทรยศต่อคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้ต่อประชาคมโลก นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของไทยในการระงับปฏิญญาสู่สันติภาพ และปรับเข้าสู่โหมดพร้อมเผชิญหน้าทางทหาร
1. ปฏิญญาที่ถูกทำลาย: การตบหน้าสักขีพยานระดับโลก
กัมพูชาเลือกที่จะกระทำการยั่วยุเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการลงนามในปฏิญญาสู่สันติภาพไทย-กัมพูชา ครั้งประวัติศาสตร์ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ปฏิญญาฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงทั่วไป แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่จะยุติความขัดแย้งอย่างยั่งยืน โดยมี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน นี่คือการให้เกียรติสูงสุดในทางการทูต และเป็นการยืนยันความชอบธรรมของข้อตกลงภายใต้สายตาของมหาอำนาจและผู้นำภูมิภาค
เจตนารมณ์หลักของปฏิญญา คือการสร้างความไว้วางใจ, รับประกันการหยุดยิง, การจัดเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการแลกเปลี่ยนเชลยศึก แต่การที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิด ที่ถูกนำมาฝังหลังจากการลงนามในปฏิญญา
และมีหลักฐานชัดเจนว่า มีการตัดรั้วลวดหนามเพื่อลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด จึงเท่ากับเป็นการฉีกทำลายข้อตกลงที่เพิ่งลงนามไปต่อหน้าสักขีพยานอย่างโจ่งแจ้งที่สุด
การกระทำนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้มีความจริงใจในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา หรืออย่างน้อยก็ไม่สามารถควบคุมกองกำลังในพื้นที่ให้เคารพต่อข้อตกลงที่ทำไว้ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นที่เป็นเสาหลักของสันติภาพ พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

2. ทางตันของการทูต: การระงับข้อตกลงและสิทธิป้องกันตนเอง
ผลจากการละเมิดอธิปไตยและหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง ตอบโต้ด้วยความเด็ดขาด
คณะรัฐมนตรีและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาสู่สันติภาพไทย-กัมพูชา ทันที การระงับข้อตกลงนี้มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
(1) การยุติการจำกัดตนเอง
การระงับปฏิญญาฯ เท่ากับการปลดล็อกข้อจำกัดในการใช้กำลังตอบโต้ของฝ่ายไทย ภายใต้กรอบของสู่สันติภาพ
(2) การยืนยันอธิปไตย
เป็นการประกาศอย่างชัดเจนต่อประชาคมโลกว่า ไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องทหารและอธิปไตยของประเทศจากการกระทำที่เป็นปรปักษ์
กองทัพได้ยกระดับมาตรการทางทหาร โดยมีการเสริมกำลังพลในพื้นที่เปราะบาง เพิ่มความเข้มข้นในการลาดตระเวน และที่สำคัญที่สุดคือการยกระดับกฎการใช้กำลังอนุญาตให้กำลังพลใช้มาตรการตอบโต้ หากมีการเคลื่อนไหวที่ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อชีวิตของกำลังพลหรืออธิปไตยของชาติ

3. จุดวิกฤตที่รอวันปะทุ
สถานการณ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนจากความตึงเครียดระดับต่ำ ไปสู่การเผชิญหน้าที่มีความเสี่ยงสูง การระงับข้อตกลงสู่สันติภาพหมายถึงการยุติการพูดคุยผ่านช่องทางทวิภาคีอย่างมีนัยสำคัญ และเปิดโอกาสให้เกิดการปะทะด้วยกำลังได้ทุกเมื่อ
ปฏิญญาสู่สันติภาพได้ถูกทุ่นระเบิดกัมพูชาทำลายไปแล้ว และปัจจุบันไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปฏิบัติการทางทหารที่ไม่อาจประนีประนอม เพื่อส่งสารอันทรงพลังว่า การทรยศต่อคำมั่นสัญญาแห่งสันติภาพ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างสาสม

