วิเคราะห์เจาะลึกผลโพลล่าสุดในภาคอีสานและภาคเหนือ ของ “นิด้าโพล” สะท้อนถึงความสั่นคลอนอย่างหนัก “พรรคเพื่อไทย” จะกลับมาผงาดทันเลือกตั้งครั้งใหม่หรือไม่ ?
การสูญเสียความนิยมอย่างมีนัยสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในฐานที่มั่นเดิมอย่างภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยผลสำรวจล่าสุดจาก “นิด้าโพล” (กระแสการเมืองภาคอีสาน 2 พ.ย. 68 /กระแสการเมืองภาคเหนือ 9 พ.ย. 68) เผยตัวเลขที่ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจน ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง
1. สัญญาณเตือนจากโพล: “แชมป์เก่า” ถูกท้าทาย
เมื่อพิจารณาผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างภาคอีสาน (สำรวจ 27-30 ต.ค. 2568) และภาคเหนือ (สำรวจ 30 ต.ค. – 4 พ.ย. 2568) พบว่าความนิยมของพรรคเพื่อไทยตกไปอยู่ในอันดับ 3 ในทั้งสองภูมิภาค
(1) ความนิยมในพรรคการเมือง
– ในภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยได้รับการสนับสนุนเป็นอันดับ 3 ด้วยคะแนนร้อยละ 16.85 %
– ในภาคเหนือ พรรคเพื่อไทยได้รับการสนับสนุนเป็นอันดับ 3 ด้วยคะแนนร้อยละ 16.60 %
(2) ความนิยมในตัวบุคคลที่สนับสนุนเป็นนายกรัฐฯ
– ในภาคอีสาน นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) ได้อันดับ 4 ด้วยคะแนนร้อยละ 8.80 %
– ในภาคเหนือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ (พรรคเพื่อไทย) ได้อันดับ 6 ด้วยคะแนนร้อยละ 3.25 %
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็น “แบรนด์” การเมืองอันดับหนึ่งในใจคนอีสานและคนเหนืออีกต่อไป แต่ถูกแซงหน้าและท้าทายด้วยสองคู่แข่งสำคัญคือ “พรรคประชาชน” และ “พรรคภูมิใจไทย”

2. ภัยคุกคามจากพรรคประชาชน
“พรรคประชาชน” ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภาคอีสาน (26.05 %) และอันดับ 2 ในภาคเหนือ (ร้อยละ 28.10 %) นี่คือหลักฐานที่ชี้ว่า กระแสการเมืองแบบ “ก้าวหน้า” และการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ได้เจาะเข้าสู่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ
3. ภัยคุกคามจากความไม่แน่นอน
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือตัวเลขของประชาชนที่ระบุว่า “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” พุ่งสูงลิ่ว
– ในภาคเหนือ ความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมสูงสุดคือ 36.60 %
– ในภาคอีสาน ความนิยมในตัวบุคคลสูงสุดคือ 32.40 %
ตัวเลขนี้สะท้อนถึง “ความศรัทธาและความผูกพันที่จางหายไป” ของประชาชนต่อพรรคการเมืองแบบเดิม
นอกจากนี้ ในภาคอีสาน พรรคภูมิใจไทยที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ยังได้คะแนนนิยมในตำแหน่งนายกฯ ถึง19.70 % ซึ่งถือเป็นคะแนนที่สูงมาก
4. ถอดรหัส: เหตุปัจจัยแห่งการเสื่อมถอย
ทำไม “แชมป์เก่า” จึงมีคะแนนตกต่ำขนาดนี้? เราวิเคราะห์ได้จาก 3 ปัจจัยหลัก
(1) การเปลี่ยนผ่านกระแสและอุดมการณ์
กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมองว่า พรรค
เพื่อไทย เป็นส่วนหนึ่งของ “การเมืองแบบเก่า” ที่ยังไม่ตอบโจทย์ความก้าวหน้าอย่างถึงแก่น
ทำให้พวกเขาหันไปสนับสนุน “พรรคประชาชน” ซึ่งนำเสนอนโยบายที่ชัดเจนและกล้าหาญกว่า
(2) ความไม่ชัดเจนในจุดยืนทางการเมือง:
ความลังเลที่จะกำหนดจุดยืนที่ชัดเจน หรือการถูกมองว่าประนีประนอมกับอำนาจเดิม อาจทำให้ฐานเสียงที่เหนียวแน่นในอดีตเกิดความสับสนและไม่ไว้วางใจ การที่คนจำนวนมากระบุว่ายัง “หาคนที่/พรรคที่เหมาะสมไม่ได้” แสดงว่า “พรรคเพื่อไทย” ยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางอุดมการณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เหมือนในอดีต
(3) การขาดบุคคล “แม่เหล็ก” ที่ทรงพลัง
ในอดีต พรรคเพื่อไทยอาศัยภาพลักษณ์และบารมีของผู้นำที่โดดเด่นเป็นหลัก แต่ในโพลครั้งนี้ ตัวแทนของพรรคไม่สามารถดึงคะแนนรวมให้สูงเท่าคู่แข่งได้เลย แสดงให้เห็นว่าความนิยมในตัวบุคคล “แม่เหล็ก” ที่คนยอมเทคะแนนให้ กำลังถูกแทนที่ด้วยความนิยมใน “กระแส” ของพรรคการเมืองอื่น

5. กลยุทธ์ “กู้ชีพ” สำหรับพรรคเพื่อไทย
เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์และไม่ให้สูญเสียฐานที่มั่นไปอย่างถาวร พรรคเพื่อไทยต้องใช้กลยุทธ์แบบผสมผสาน
(1) เร่งเปิดตัว “บุคคลที่ใช่”
เนื่องจากตัวเลข “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” สูงมาก นี่คือโอกาสทอง พรรคต้องนำเสนอแคนดิเดตนายกฯ ที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านเศรษฐกิจ และสามารถเชื่อมโยงกับฐานเสียงเดิม (ผู้สูงวัย) และฐานเสียงใหม่ (คนรุ่นใหม่ที่มองหาการเปลี่ยนแปลง) ได้อย่างลงตัว
(2) นโยบายต้อง “สุดโต่ง” ในทางเศรษฐกิจ
พรรคเพื่อไทยต้องกลับไปสู่จุดแข็งเดิมคือ นโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างที่กล้าหาญและจับต้องได้ เพื่อแข่งขันกับนโยบายของพรรคประชาชน โดยเน้นไปที่การแก้ปัญหาปากท้องและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง
(3) มุ่งเน้นกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีรายได้ปานกลาง
พิจารณาจากลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่ากลุ่มอายุ 46-59 ปี (อีสาน ร้อยละ 27.75 ,เหนือ ร้อยละ 25.45) และกลุ่ม 60 ปีขึ้นไป (อีสาน ร้อยละ 24.50 , เหนือ ร้อยละ 29.55) เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุด
กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001–20,000 บาท ก็มีสัดส่วนสูงสุดเช่นกัน (อีสาน ร้อยละ 33.25 , เหนือ ร้อยละ 29.40)
พรรคต้องใช้กลไกการลงพื้นที่และการสื่อสารแบบดั้งเดิมที่เข้าถึงง่าย เพื่อดึงความเชื่อมั่นจากฐานเสียงหลักนี้กลับมาอย่างเร่งด่วน
พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในทางแยก หากสามารถหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาฐานเสียงเดิมและการปรับตัวเข้ากับกระแสการเมืองใหม่ได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมายืนเป็นหนึ่งในสนามเลือกตั้งได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากยังคงอยู่ในภาวะ “ก้ำกึ่ง” และไม่ชัดเจน เส้นทางสู่การเป็น “พรรคแชมป์” ในฐานที่มั่นเดิมก็อาจจะถูกปิดไปอย่างถาวร
ที่มา “กระแสการเมือง ภาคเหนือ” : นิด้าโพล / “กระแสการเมือง ภาคอีสาน” : นิด้าโพล

