ไขข้อสงสัย ทำไม ไทย ออสเตรเลีย ไนจีเรีย มีปริมาณการผลิตแร่หายากเท่ากัน แต่ไทยกลับถูกจัดให้อยู่ในอับดับที่ต่ำกว่า
หลังจาก “นายกฯ อนุทิน” ทำ MOU “ความร่วมมือแร่หายาก” กับสหรัฐฯ ข่าวคราวเกี่ยวกับ “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมบางสื่อระบุว่า ไทยอยู่อันดับที่ 6 (ส่วนใหญ่) ประเทศที่ผลิตแร่หายากได้มากที่สุด แต่ทำไมบางสื่อกลับระบุว่า ไทยอยู่อันดับที่ 4สรุปแล้ว ไทยอยู่อันดับที่เท่าไหร่กันแน่ ?
1. เอกสารสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุปริมาณ แต่ไม่ได้จัดอันดับ
ข้อมูลต้นทางมีที่มาจาก U.S. Geological Survey (USGS) หรือ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ ได้ให้ข้อมูลปริมาณสำรอง “แร่หายาก” และปริมาณการผลิต ในปี 2567 แต่ไม่ได้จัดอันดับไว้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไหนอยู่ที่อันดับใด
ซึ่งในส่วนประเทศไทย มีปริมาณสำรอง “แร่หายาก” 4,500 เมตริกตัน (อยู่อันดับที่ 12 ของโลก) แต่ในส่วนของปริมาณการผลิต ได้ระบุว่า มี 3 ประเทศที่มีกำลังการผลิต 13,000 เมตริกตัน นั่นก็คือ ไทย ไนจีเรีย และออสเตรเลีย

2. ข้อเท็จจริงเชิงสถิติตัวเลข
ข้อมูลปริมาณการผลิต “แร่หายาก” ประจำปี 2567 จาก USGS มีดังนี้
จีน 270,000
สหรัฐอเมริกา 45,000
เมียนมา 31,000
ออสเตรเลีย 13,000
ไนจีเรีย 13,000
ไทย 13,000
อินเดีย 2,900
ฯลฯ
ซึ่งหากยึดตามตัวเลขปริมาณที่เท่ากัน 13,000 เมตริกตัน ไทย ไนจีเรีย และออสเตรเลีย จึงควรอยู่ในอันดับที่ 4 ร่วมกัน (Tied Rank)

4. แต่ทำไมข้อมูลที่เผยแพร่ส่วนใหญ่ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 6
การที่สื่อวิเคราะห์การลงทุนระดับสากลหลายแห่ง อาทิ Investing News Network (INN) และสื่ออื่น ๆ เลือกที่จะจัดเรียงลำดับให้ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 (รองจากออสเตรเลียและไนจีเรีย) เป็นผลมาจากการใช้บริบทเชิงยุทธศาสตร์ เป็นปัจจัยในการแยกแยะอันดับ (Tiebreaker) นักวิเคราะห์จะพิจารณา “คุณภาพ” หรือ “บทบาท” ของผลผลิตในห่วงโซ่อุปทานโลก
ออสเตรเลีย (อันดับ 4) ถูกจัดให้เป็นอันดับที่สูงกว่าในฐานะผู้ผลิตแร่ต้นน้ำที่ชัดเจนและมั่นคง โดยมีเหมือง Mount Weld ของ Lynas Rare Earths เป็นผู้นำหลัก และมีปริมาณสำรองแร่หายากสูงถึง 5.7 ล้านเมตริกตัน
ไนจีเรีย (อันดับ 5) ถูกจัดให้เป็นผู้ผลิตที่เติบโตเร็วมาก (ผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากปีก่อนหน้า) โดยเน้นที่การขุดแร่ เป็นการผลิตตั้งแต่ต้นทาง
ส่วนประเทศไทย ถูกจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 6 เนื่องจาก 2 ปัจจัย ดังต่อไปนี้
– ความเหลื่อมล้ำระหว่างปริมาณสำรองและปริมาณการผลิต: ปริมาณการผลิตที่สูงถึง 13,000 เมตริกตัน ไม่ได้เกิดจากการทำเหมืองภายในประเทศ แต่เกิดจากกิจกรรมการแปรรูปแร่เข้มข้นนำเข้า โดยปริมาณสำรองแร่หายากในไทยมีเพียง 4,500 เมตริกตัน เท่านั้น (ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ผลิตหลักอื่น ๆ)
– บทบาทในห่วงโซ่อุปทาน: ผลผลิตที่พุ่งขึ้นถึง 261% จากปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการดำเนินงานของโรงงานผลิตวัสดุแม่เหล็กมูลค่าสูง เช่น บริษัท Neo Magnequench ในจังหวัดนครราชสีมา ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแร่กึ่งสำเร็จรูปให้เป็นวัสดุปลายน้ำ
การจัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 6 ในสื่อส่วนใหญ่ จึงเป็นการสะท้อนว่าผลผลิตของไทยนั้นมีความสำคัญทางเทคโนโลยี แต่เน้นไปที่ขบวนการกลางน้ำ ต่างจาก “ออสเตรเลีย” และ “ไนจีเรีย” ที่มี “บทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลก” มากกว่า
ดังนั้นการจัดอันดับจึงใช้เกณฑ์ปริมาณเป็นที่ตั้ง และนำ “บทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลก” มาพิจารณาประกอบเพื่อระบุอันดับ ในกรณีที่มีปริมาณการผลิตเท่ากัน
ซึ่งการจัดอันดับลักษณะนี้จะทำให้เห็นบทบาทและความสำคัญได้ลึกซึ้งขึ้น แต่ผลที่ตามมาก็คืออาจสร้างความสงสัย จนต้องมีการอธิบายเพิ่มเติม
อ้างอิง

