The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / Editor / บทสัมภาษณ์ “ณัฐพงษ์” ยืนยันกับ TIME พร้อมบริหารประเทศ (ฉบับเต็ม)
EditorINSIGHTPOLITICS

บทสัมภาษณ์ “ณัฐพงษ์” ยืนยันกับ TIME พร้อมบริหารประเทศ (ฉบับเต็ม)

Srawut
Last updated: 16 ก.ย. 2025 19:19
Srawut
Share
SHARE

อ่านกันอย่างจุใจ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ให้สัมภาษณ์ TIME กับสื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก ในทุกมิติทางการเมือง  

หากจะว่ากันตามกลยุทธ์การเลือกตั้งแล้ว การลองครั้งที่ 3 อาจจะฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ก็ยากที่จะชี้ชัดถึงข้อผิดพลาดที่ชัดเจนของขบวนการก้าวหน้าของคนหนุ่มสาวในประเทศไทย ซึ่งในช่วงเวลาเพียง 7 ปีและการเลือกตั้ง 2 ครั้ง บัดนี้ได้กลายมาเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ

“วิสัยทัศน์ของเราคือการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวกับ TIME “ปัญหาหลักยังคงเป็นปัญหาเดียวกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราต้องนำประชาธิปไตยเต็มใบกลับคืนสู่ประเทศของเรา”

สถานการณ์ที่ขัดขวางความพยายามของขบวนการก้าวหน้าในการขึ้นสู่อำนาจเป็นไปอย่างซับซ้อน ในปี 2562 “พรรคอนาคตใหม่” ได้รับคะแนนเสียงทั่วประเทศ 17.34% แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอย่างรวดเร็ว หลังจากเงินกู้ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้ก่อตั้งพรรคให้แก่พรรค ถูกวินิจฉัยว่าผิดกฎหมาย (ธนาธรยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี)

ในปี 2566 “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเป็นพรรคสืบทอด ทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ได้ที่นั่งในสภา 151 ที่นั่ง ซึ่งมากที่สุด อย่างไรก็ตาม พรรคถูกสกัดกั้นไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล และต่อมาก็ถูกยุบโดยคำตัดสินของศาลอีกครั้ง… (ก่อนเป็น “พรรคประชาชน” ในเวลาต่อมา

บัดนี้ “พรรคประชาชน” อยู่ภายใต้การนำของณัฐพงษ์ วัย 38 ปี กำลังเตรียมพร้อมที่จะลงแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งที่ 3 “เราตั้งเป้าหมายที่จะได้ที่นั่งเสียงข้างมากในสภา” ณัฐพงษ์กล่าว “เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่าเราพร้อมที่จะบริหารประเทศ”

ทว่า วิธีการที่นำไปสู่การเลือกตั้งนั้นก็เป็นที่ถกเถียง เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ในขณะนั้น ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งฐานประพฤติผิดจริยธรรม กรณีคลิปเสียงสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา “ฮุน เซน” เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดน ซึ่งในระหว่างการสนทนา เธอเรียกเขาว่า “ลุง” และวิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพไทยว่าเป็น “คู่ขัดแย้ง” ของเธอ

เมื่อประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางการเมือง “ณัฐพงษ์” ได้ตัดสินใจสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ให้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เพื่อแลกกับการยุบสภาภายใน 4 เดือน และการจัดทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญ

แม้ว่าการสนับสนุนคู่แข่งทางอุดมการณ์ จะเสี่ยงต่อการทำให้ฐานเสียงของ “พรรคประชาชน” ไม่พอใจ “ณัฐพงษ์” ให้เหตุผลว่า “การตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างยิ่งนี้ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าความนิยมของเรา”

ตอนนี้ความท้าทายสำหรับ “ณัฐพงษ์” คือการต่อยอดผลงานของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง ปี 2566 เพื่อให้ได้ที่นั่งเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล และผลักดันวาระการกระจายอำนาจ “ประเทศไทยมีปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง กองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง การครอบงำรัฐ และการรวมศูนย์ของระบบราชการ” ณัฐพงษ์กล่าว

“ดังนั้นการต่อสู้ในประเด็นหลักเหล่านี้คือการต่อสู้กับคนเพียงไม่กี่คนที่ได้ประโยชน์จากระบบปัจจุบัน”

“ณัฐพงษ์” จะเป็นผู้นำที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ยังคงต้องรอดูกันต่อไป แม้ว่าเขาจะเป็นคนสุขุมรอบคอบและพูดจามีหลักการ แต่เขาก็ขาดคุณสมบัติด้านความโดดเด่นอย่าง “ธนาธร” หรือ “พิธา” ซึ่งชื่อเสียงที่โด่งดังนำพาคนรุ่นใหม่จำนวนมากมาสู่ธงของขบวนการก้าวหน้า

“พื้นฐานความนิยมที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลคือสิ่งที่เรียกว่า ‘แฟนด้อม’ ที่สร้างขึ้นรอบตัวผู้นำพรรค”

“ณพล จาตุศรีพิทักษ์” นักวิชาการรับเชิญที่สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์กล่าวว่า “ธนาธรและพิธาเป็นเหมือนดารา ในทางตรงกันข้าม ณัฐพงษ์มีภาวะผู้นำแบบเทคโนแครต สุขุมเยือกเย็นกว่า และไม่ได้มีลูกเล่นมากนัก ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนักในการเข้าสู่การเลือกตั้ง”

แต่คนอื่นกลับไม่เห็นด้วยเช่นนั้น “ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์” ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

“ท่าทีที่นุ่มนวลกว่าของณัฐพงษ์ อาจช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงการเป็นสายล่อฟ้า สำหรับกลุ่มอำนาจเก่า ดังที่เกิดขึ้นกับธนาธร ที่บางครั้งดูก้าวร้าว หรือพิธาที่ดูโดดเด่นกว่า ณัฐพงษ์ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันภายในพรรค ทำงานด้านนโยบายที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ และเก่งในด้านการสื่อสาร” ฐิตินันท์กล่าว “เขามีความสามารถในการพูด มีวาทศิลป์ และสื่อสารประเด็นได้ตรงจุดเมื่อพูดในสภา คนนี้ของจริง”

เดิมพันครั้งนี้สูงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งสำหรับสังคมไทยและภูมิภาคในวงกว้าง ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในเอเชีย และเป็นเหมือนประทีปแห่งประชาธิปไตยท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านที่มีความเป็นเผด็จการมากกว่า แม้ว่าการถดถอยในเรื่องนี้จะเป็นสาเหตุของความวิตกกังวลในวอชิงตัน ในขณะที่กลุ่มอำนาจทางการทหารของไทยเอนเอียงเข้าหามหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนมากขึ้น การเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจจะเป็นตัวตัดสินว่า แนวโน้มดังกล่าวจะถูกฝังรากลึกหรือจะกลับทิศทาง

แน่นอนว่า “ณัฐพงษ์” รู้ดีว่าภูมิทัศน์การเลือกตั้งได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปีนับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด และเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ กลับมายังประเทศไทยจากการลี้ภัย 15 ปี (17 ปี) “พรรคเพื่อไทย” ที่ “ทักษิณ” สนับสนุนชนะการเลือกตั้งทุกครั้งตั้งแต่ปี 2544 แต่ก็ถูกโค่นล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยการรัฐประหารทั้งโดยฝ่ายตุลาการและทหาร ซึ่งเป็นความวุ่นวายที่คั่นด้วยการประท้วงบนท้องถนนที่มักจะนำไปสู่การเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม การครองความเป็นใหญ่ทางการเลือกตั้งของ “ทักษิณ” ก็หยุดชะงักลงอย่างกะทันหันโดย “พรรคก้าวไกล” ในปี 2566 เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ของเขาได้อันดับ 2 ด้วยจำนวน 141 ที่นั่ง

“ทักษิณ” ได้เป็นพันธมิตรกับ “พรรคก้าวไกล” ในช่วงสั้นๆ เพื่อพยายามจัดตั้งรัฐบาล แต่กลับผิดข้อตกลง หันไปเป็นผู้นำแนวร่วมกับพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งรวมถึง 2 พรรคที่มีส่วนโดยตรงต่อการโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในปี 2557 “ณัฐพงษ์” เชื่อว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจต่อผลงานของ “พรรคเพื่อไทย” เพื่อปลุกเร้าความปรารถนาอันแรงกล้าของเพื่อนร่วมชาติในการปฏิรูป

ในอีกเรื่องที่พลิกผัน เมื่อวันที่ 9 กันยายน ทักษิณวัย 76 ปี ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 ปี โดยศาลวินิจฉัยว่า เขาใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลอย่างไม่ถูกต้องแทนที่จะอยู่ในเรือนจำ สำหรับคดีทุจริตและใช้อำนาจในทางมิชอบ

ณัฐพงษ์กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ทักษิณต้องยอมรับคำตัดสินของศาล หากเขาตัดสินใจที่จะหนีไปเหมือนในอดีต จะมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สามารถยอมรับการกระทำของเขาได้ และสิ่งนี้จะนำความขัดแย้งใหม่มาสู่ประเทศ”

อิทธิพลของ “ทักษิณ” ยังปรากฏชัดเจนในช่วงที่ไทยมีการปะทะกันตามแนวชายแดนกับกัมพูชาเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งนำไปสู่ผู้บาดเจ็บหลายร้อยคน เสียชีวิตหลายสิบคน และการถูกถอดถอนของ “แพทองธาร” ปัจจัยสำคัญดูเหมือนจะเป็นข้อพิพาทส่วนตัวระหว่าง “ทักษิณ” กับ “ฮุน เซน” ที่ทำให้ผู้สังเกตการณ์ต่างงุนงง

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ผู้นำทั้งสองมีความใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง โดย “ฮุน เซน” ได้แต่งตั้ง “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา หลังจากการรัฐประหารในปี 2549 เมื่อ “ทักษิณ” เดินทางกลับประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2566 “ฮุน เซน” เป็นบุคคลสำคัญคนแรกที่มาเยี่ยมชายที่เขาเคยเรียกว่า “พี่น้องร่วมสาบาน”

แต่ในเดือนมิถุนายน “ฮุน เซน” เริ่มโพสต์ข้อความที่ไม่ปกติกล่าวหาว่า “ทักษิณทรยศเขา” และก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ หลังจากการถอดถอนแพทองธาร “ฮุน มาเนต” บุตรชายของฮุน เซน และนายกฯ กัมพูชา ได้ส่งข้อความอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 กันยายน เพื่อแสดงความยินดีกับการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของ “อนุทิน”

ท่าทีของ “ฮุน มาเนต” ต่อ “อนุทิน” เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เพิ่งตกต่ำถึงขีดสุด ได้ทำให้เกิดความประหลาดใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าการที่บิดาของเขาปล่อยคลิปเสียงสนทนากับนายกฯ เป็นเครื่องมือสำคัญในการปลด “แพทองธาร” ออกจากตำแหน่ง

ในขณะที่ข้อกล่าวหาเรื่องทฤษฎีสมคบคิดยังคงเป็นเพียงข่าวลือ “ณัฐพงษ์” กล่าวว่าอย่างน้อยที่สุดความขัดแย้งนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายของความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ “ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้เป็นปัญหาระหว่างสองครอบครัวใหญ่” ณัฐพงษ์กล่าว “เราต้องกลับไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐต่อรัฐ”

การเปลี่ยนข้างอย่างพลิกผันของทักษิณสร้างความขัดแย้งให้กับขบวนการก้าวหน้าของไทย “ณัฐพงษ์” อ้างถึงการรัฐประหารปี 2549 ที่โค่นล้มทักษิณว่า เป็นจุดที่ทำให้เขาตื่นรู้ทางการเมือง เขากำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อทหารเข้ายึดอำนาจ “ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง” ณัฐพงษ์กล่าว “ผมหมดศรัทธาในประเทศของเราในตอนนั้น”

“ณัฐพงษ์” ให้เครดิตนักคิดหัวก้าวหน้าอย่าง “ธนาธร” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นนักอุดมการณ์คนสำคัญของขบวนการก้าวหน้าว่า เป็นผู้ให้ความกระจ่างแก่ตน และทำให้ตนออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยเพราะเชื่อว่าเราต้องแก้ไขการเมืองของเราร่วมกัน

แม้ว่า “ณัฐพงษ์” จะเป็นบุตรคนที่ 4 ของ “สุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ” เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ แต่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มชนชั้นนำที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ โดยเน้นว่าพ่อแม่ของเขาร่ำรวยขึ้นในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่นแล้ว

หลังสำเร็จการศึกษา “ณัฐพงษ์” ได้ก่อตั้งบริษัท ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็น ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ครั้งแรกในปี 2562 แม้จะแต่งงานแล้ว แต่เขายังไม่มีบุตร และบอกว่าจะใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยหรือดูซีรีส์การเมืองบน Netflix เช่น Designated Survivor “ทั้งเวอร์ชันอเมริกัน และเกาหลี” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ความรู้ด้านเทคโนโลยีของณัฐพงษ์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบแคมเปญหาเสียงออนไลน์ของพรรคก้าวไกลในปี 2566 ซึ่งได้รับการยอมรับว่า สร้างฐานสนับสนุนที่กว้างขวางทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย หลังตกเป็นเชลยของการเมืองระบบอุปถัมภ์ที่ล้าสมัยมานาน โดยมีการแจกเงินสดและสิ่งจูงใจอื่นๆ ผ่านครอบครัวผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพื่อสร้างฐานเสียง ตามธรรมเนียมแล้วพรรคอนุรักษ์นิยมมีอิทธิพลในกรุงเทพฯ และภาคใต้ของไทย ในขณะที่ฐานเสียงหลักของ “ทักษิณ” คือภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทแต่มีประชากรหนาแน่น

แคมเปญระดับรากหญ้าที่เน้นโซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาดของ “พรรคก้าวไกล” ได้ช่วยทลายกระบวนทัศน์นั้น แม้ว่านักวิเคราะห์จะกล่าวว่า พรรคที่มั่นคงกว่าอย่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อไทย” มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสิ่งจูงใจมากขึ้นในครั้งต่อไปเพื่อตอบโต้ “เรารู้ว่าการเมืองระบบอุปถัมภ์จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นเราต้องดึงดูดมวลชนเพื่อชนะการเลือกตั้ง” ณัฐพงษ์กล่าว

นอกเหนือจาก 151 ที่นั่งที่ “พรรคก้าวไกล” ได้รับในครั้งที่แล้ว พรรคยังได้อันดับสองในเขตเลือกตั้งอื่น ๆ อีกกว่า 100 เขต และณัฐพงษ์กล่าวว่า เป้าหมายของเขาคือการชนะทุกเขตเหล่านั้นเพื่อให้ได้เสียงข้างมากที่ชัดเจน 

แน่นอนว่าตอนนี้ที่ “พรรคภูมิใจไทย” สามารถใช้อำนาจรัฐเพื่อดึงดูด สส. จากพรรคอื่น ๆ มาเสริมความแข็งแกร่งได้ อย่างน้อยที่สุด “อนุทิน” สามารถใช้ตำแหน่งของเขาเพื่อเพิ่มทุนชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง หรืออย่างเลวร้ายที่สุด การสนับสนุนในสภาที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นทุนทางการเมืองเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ส.ส. ของ “พรรคประชาชน” ไม่น่าจะถูกซื้อตัวได้ง่ายๆ  แม้ว่าการย้ายพรรคจะเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเมืองไทย ซึ่งข้อกล่าวหาเรื่องนักการเมืองแลกเปลี่ยนเงินสดเป็นมัด ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนน่าตกใจ แต่หลังจากการยุบพรรคก้าวไกลในปี 2566 สส. ที่เหลืออยู่ทุกคนได้เข้าร่วมกับ “พรรคประชาชน” แม้ว่าจะมีบางส่วนถูกตัดสิทธิ์และบางคนลาออกท่ามกลางเรื่องอื้อฉาว

ฐิตินันท์กล่าวว่า “พรรคประชาชนอาศัยแนวคิด อุดมการณ์ และนโยบายพรรคเพื่อให้ยังคงอยู่และสอดคล้องกันแม้จะถูกยุบไปแล้วสองครั้ง เราไม่เคยเห็นพรรคแบบนี้มาก่อนในการเมืองไทย”

แน่นอนว่า ข้อตกลงที่ “ทักษิณ” ทำกับกลุ่มชนชั้นนำเพื่อกัน “พรรคก้าวไกล” ออกจากอำนาจ และการบริหารที่ผิดพลาดของ “พรรคเพื่อไทย” เป็นเวลา 2 ปี หมายความว่าเขาไม่สามารถอ้างตัวว่าเป็นผู้ต่อต้านอำนาจเก่าได้อีกต่อไป ซึ่งวันนี้ตำแหน่งนั้นเป็นของ “พรรคประชาชน” แต่เพียงผู้เดียว แต่ในขณะที่สิ่งนั้นอาจเป็นประโยชน์ต่อ “ณัฐพงษ์” ในการปรากฏตัวเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักเพื่อการปฏิรูป

ณพลกล่าว “คนไทยทั่วไปไม่เชื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร หรือแม้กระทั่งกึ่งเผด็จการการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม แลกกับการยุบสภา ทำให้พรรคประชาชนอยู่ใน ตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจอย่างยิ่ง ในการพยายามวางตัวเป็นยาถอนพิษของชนชั้นนำที่ฝังรากลึก พรรคประชาชนได้สูญเสียจุดยืนที่แข็งแกร่งในการต่อต้านอิทธิพลของทหารไปแล้ว”

แต่ “ณัฐพงษ์” มองต่างออกไป “เรารู้ว่าการลงคะแนนให้คุณอนุทินเป็นนายกฯ ต้องส่งผลกระทบต่อความนิยมของพรรคเรา อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่แท้จริงในประเทศไทยตอนนี้คือเราต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจเช่นนี้”

“ฐิตินันท์” กล่าวว่า “สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการที่พรรคประชาชนจะเข้าร่วมกับพรรคภูมิใจไทย หรือเพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ การที่ณัฐพงษ์ปฏิเสธอำนาจเพื่อแลกกับการเลือกตั้งใหม่นั้น เป็นเรื่องน่าขันตามมาตรฐานของพรรคการเมืองไทย หรือแม้แต่ทั่วโลก ในการเมืองแบบดั้งเดิมของไทย นักการเมืองจะยอมสละหลักการเพื่ออำนาจ เกียรติยศ เพื่อผลประโยชน์ของตน และโอกาสในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคประชาชนทำในทางตรงกันข้าม เป็นตัวแทนของการเมืองใหม่ในประเทศไทย มันไม่ใช่เรื่องของการเจรจาลับๆ มันคือการมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้”

ถึงกระนั้น ประเด็นที่สำคัญที่ยังคงอยู่คือทัศนคติของ “พรรคประชาชน” ต่อการปฏิรูปมาตรา 112 จนนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล “ณัฐพงษ์” กล่าวว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงระบุว่าพรรคการเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้รณรงค์เรื่องการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นในขณะที่เขาจะเก็บเป้าหมายดังกล่าวไว้นอกแถลงการณ์หรือสุนทรพจน์หาเสียงใดๆ ความทะเยอทะยานของขบวนการยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าเราได้อำนาจ เราจะแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

แม้ว่าจะเป็นความคิดที่ดูเป็นกลางตามมาตรฐานตะวันตก แต่ความรู้สึกดังกล่าวยังคงเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำผู้ปกครองของไทยยอมรับไม่ได้ และเมื่อพิจารณาจากชะตากรรมของผู้นำคนก่อนๆ ของขบวนการก้าวหน้า “ณัฐพงษ์” รู้ดีว่า เจตนาใดๆ ที่จะปฏิรูปสถาบันอันสูงสุดนี้ ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหญ่

เมื่อถูกถามว่าเขามั่นใจได้หรือไม่ว่า จะรอดพ้นจากชะตากรรมเดียวกับหัวหน้าพรรคคนก่อนๆ ณัฐพงษ์ยักไหล่ “ผมบอกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด เราต้องการการปฏิรูปทางการเมืองที่ทำให้องค์กรอิสระต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนเพียงไม่กี่คน”

ที่มา TIME : Thailand’s Opposition Leader Natthaphong Ruengpanyawut Is ‘Ready to Run the Country’

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article สรุปบทสัมภาษณ์ “ณัฐพงษ์” ยืนยันกับ TIME พร้อมบริหารประเทศ
Next Article โผ ครม.อนุทิน 1 “โสภณ ซารัมย์” คัมแบ็กยิ่งใหญ่ นั่งรองนายกฯ “ธรรมนัส” ผ่านฉลุย
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

EditorINSIGHTPOLITICS

วิเคราะห์ผลโพล คนไทยชอบ “คนละครึ่ง ยุคบิ๊กตู่” มากที่สุด สะท้อนอะไร ?

By Srawut
Editor

LUSS: การเป็นตัวเอง ความไร้กรอบ ความท้าทาย และความสมดุลในการทำเพลง

By ระวี ตะวันธรงค์
EditorINSIGHTPOLITICS

สันติ มอบนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค “Quick Big Win”

By Srawut
POLITICSThailand Talk

4 ความเข้าใจ เพื่อเปิดใจยอมรับความเห็นต่าง

By ระวี ตะวันธรงค์
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.