“ภูมิใจไทย” เตรียมรีแบรนด์ “คนละครึ่ง” กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยกลยุทธ์เปลี่ยนความทรงจำเชิงนโยบายของสังคม ให้เป็น “ทุนทางการเมือง”
ในช่วงโควิด-19 ประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ “รัฐบาลประยุทธ์” จึงได้ผลักดันโครงการ“คนละครึ่ง” ออกมา โดยให้รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่าย ขณะที่ประชาชนจ่ายอีกครึ่ง ผ่านแอป “เป๋าตัง” มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานราก แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้เมื่อ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล และมีแนวคิดจะฟื้นโครงการนี้อีกครั้ง คำถามที่น่าสนใจก็คือ นี่จะเป็นเพียงนโยบายประชานิยมซ้ำเดิม หรือกลายเป็น “ทุนทางการเมือง” ที่สร้างเสริมพลังให้กับพรรคได้จริง ?
1. คนละครึ่ง: จาก “ยาแก้ปวด” สู่นโยบายที่คนจำได้
โครงการ “คนละครึ่ง” เปิดตัวครั้งแรกในปี 2563 ท่ามกลางบรรยากาศที่เศรษฐกิจหดตัวอย่างหนัก จุดเด่นของโครงการคือ ง่าย ตรงไปตรงมา และจับต้องได้
2. สถิติชี้วัดความนิยม
เฟส 1–2 มีผู้เข้าร่วม 14.79 ล้านคน ใช้จ่ายกว่า 102,000 ล้านบาท
เฟส 3–4 ยอดผู้เข้าร่วมพุ่งขึ้นกว่า 26 ล้านคน เงินสะพัดรวม 285,000 ล้านบาท
เฟส 5 ซบเซาลง เหลือผู้เข้าร่วมราว 14 ล้านคน เนื่องจากวงเงินและระยะเวลาสั้นลง
โดยตลอดโครงการมียอดใช้จ่ายรวมเกือบ 4 แสนล้านบาท
3. ข้อดีและข้อด้อย
ข้อดี
• กระตุ้นการใช้จ่ายได้จริง
• ช่วย SME และร้านค้ารายย่อยให้มีรายได้
• สร้างพฤติกรรมสังคมไร้เงินสด (cashless society)
ข้อด้อย
• ผู้สูงอายุและกลุ่มที่ไม่ใช้สมาร์ทโฟนเข้าถึงลำบาก
• ภาระงบประมาณสูงมาก (รัฐจ่ายเกือบ 2 แสนล้าน)
• เกิดประโยชน์เพียงระยะสั้น ไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ
4. เมื่อภูมิใจไทยรีแบรนด์ “คนละครึ่ง”
การที่พรรคภูมิใจไทยเลือกฟื้นโครงการนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นหมากการเมืองที่มองขาด
• สร้างภาพลักษณ์เชิงบวก
ด้วยโครงการที่เคยประสบความสำเร็จ เพราะคนละครึ่งคือ นโยบายที่คนไทยรู้จัก จำได้ เคยใช้จริง และได้รับความชื่นชม
• ขยายฐานเสียง
เดิมฐานเสียงภูมิใจไทยอยู่ในชนบท แต่คนละครึ่งช่วยเจาะกลุ่ม SME, แม่ค้า, คนเมือง โดยกลุ่มนี้คือฐานเสียงใหม่ที่สำคัญ
• รีแบรนด์นโยบายเก่าให้กลายเป็นทุนใหม่
แม้โครงการเริ่มในยุครัฐบาลประยุทธ์ (ภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล) แต่ถ้าภูมิใจไทยนำกลับมา จะสามารถเปลี่ยน “ความทรงจำเชิงนโยบาย (Policy Memory) ของสังคม ให้เป็น “ทุนทางการเมือง” (Political Capital) ของพรรค
5. กลยุทธ์นี้มีตัวอย่างมาแล้ว
ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่พรรคการเมือง “ปัดฝุ่นนโยบายเก่า” เพื่อสร้างพลังทางการเมือง
• ไทยรักไทย/เพื่อไทย : จาก “30 บาทรักษาทุกโรค” ขยายเป็น “รักษาฟรีทุกโรค”
• ประชาธิปัตย์: หยิบ “โครงการประกันรายได้เกษตรกร” กลับมาใช้หลายยุค
• สหรัฐฯ: โครงการ Food Stamp ที่ถูกฟื้นและปรับปรุงหลายครั้ง
• ญี่ปุ่น: LDP ฟื้นนโยบายเงินอุดหนุนครัวเรือนหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
6. ข้อดีและความเสี่ยงของภูมิใจไทย
ข้อดี:
• ได้คะแนนนิยมทันที เพราะเป็นโครงการที่พิสูจน์แล้วว่าคนชอบ
• ทำให้พรรคมีผลงานที่จับต้องได้
ความเสี่ยง:
• ถูกโจมตีว่า “ประชานิยมซ้ำซาก”
• ภาระการคลังสูง หากออกแบบไม่รอบคอบ
• ถ้าประชาชนรู้สึกว่า “ไม่คุ้มค่าเหมือนเดิม” (เช่น วงเงินน้อยลง) อาจกลายเป็นผลลบ เพราะถูกนำไปเปรียบเทียบกับของเดิม
7. สรุป: คนละครึ่งในมือภูมิใจไทย = “ทุนทางการเมือง”
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ “คนละครึ่ง” คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ประสบความสำเร็จ ในเชิงการเมือง หากภูมิใจไทยฟื้นและรีแบรนด์ได้ดี โครงการนี้จะกลายเป็น “ทุนทางการเมือง” ที่ช่วยเพิ่มคะแนนนิยมระยะสั้น และสร้างฐานเสียงใหม่ได้
คำถามสำคัญคือ ภูมิใจไทยจะทำให้ “คนละครึ่ง” แตกต่างและดีกว่าเดิมได้หรือไม่?
เพราะถ้าเพียงนำมาลอกเลียนโดยไม่มีนวัตกรรม มันก็จะเป็นแค่ นโยบายประชานิยมซ้ำซาก ที่หมดพลังทางการเมืองไปในที่สุด
แต่ถ้าพรรคสามารถออกแบบใหม่ให้ตอบโจทย์ระยะยาว เช่น ช่วยกลุ่มเปราะบางได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำ และเชื่อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น
“คนละครึ่ง” จะก้าวข้ามจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว ไปสู่สัญลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย และกลายเป็นมรดกทางการเมือง ที่สร้างทั้งฐานเสียงและความชอบธรรมให้พรรคในระยะยาว

