สหรัฐฯ ทำ MOU “ความร่วมมือแร่หายาก” กับไทย ด้วยเหตุผลกลใด ทั้งๆ ที่ไทยไม่ได้มีปริมาณ “แร่หายาก” ที่สูงมากนัก บทวิเคราะห์นี้มีคำตอบ
The Insight วิเคราะห์การทำ MOU ความร่วมมือด้าน “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) ระหว่างสหรัฐฯ กับไทย ทั้งๆ ที่ไทยจะไม่ได้มีปริมาณสำรอง “แร่หายาก” ที่สูงนัก แต่เหตุผลสำคัญในการทำ MOU ครั้งนี้ไม่ได้เน้นที่ปริมาณแร่ดิบ แต่เน้นที่ยุทธศาสตร์ด้านห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain Strategy) เป็นหลัก
1. แร่หายาก (Rare Earth) คืออะไร?
แร่หายาก (Rare Earth Elements) ไม่ได้หายากตามชื่อ แต่หมายถึงกลุ่มโลหะ 17 ชนิด ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ ประกอบด้วยกลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanides) 15 ธาตุ ร่วมกับ สแกนเดียม (Sc) และ อิตเทรียม (Y)
ธาตุเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ใช้ในการผลิต แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (เช่น นีโอดิเมียม) ที่เป็นหัวใจสำคัญของ รถยนต์ไฟฟ้า (EVs), กังหันลม, สมาร์ทโฟน, และ ยุทโธปกรณ์ทางทหาร การสกัดและแยกธาตุเหล่านี้ทำได้ยากและใช้เทคโนโลยีเฉพาะทางสูง

2. การกระจุกตัวของการผลิต: ภัยคุกคามทางยุทธศาสตร์
เหตุผลหลักที่ผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องแสวงหาพันธมิตรใหม่ด้านแร่หายาก คือ การที่ห่วงโซ่อุปทานแร่หายากเกือบทั้งหมดถูกควบคุมโดยจีน
– การผูกขาดการแปรรูป: จีนไม่ได้เป็นเพียงประเทศที่มีปริมาณสำรอง “แร่หายาก” มากที่สุดในโลก (อันดับ 1 ที่ 44 ล้านตัน) และปริมาณการผลิตสูงที่สุด (อันดับ 1 ที่ 270,000 เมตริกตันในปี 2024) เท่านั้น แต่ยังผูกขาดกระบวนการแปรรูปขั้นกลางและขั้นปลาย (การแยกสกัดธาตุบริสุทธิ์และการผลิตแม่เหล็กถาวร) เกือบ 90% ของโลก
– ทรัพยากรยุทธศาสตร์: แร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า (EVs), กังหันลม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, และ ยุทโธปกรณ์ทางทหาร ความเสี่ยงใดๆ ต่ออุปทาน “แร่หายาก” จึงถือเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและชาติของสหรัฐฯ
– เป้าหมายของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ จึงมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์คือการ ลดการพึ่งพาจีน โดยการสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ” (Resilient Supply Chain) ร่วมกับพันธมิตร
3. บทบาทของไทย: ศูนย์กลางการแปรรูปเชิงยุทธศาสตร์
แม้ว่าปริมาณสำรอง “แร่หายาก” ที่ได้รับการประเมินของไทยจะอยู่ในลำดับที่ 12 ของโลก (4,500 ตัน) ซึ่งไม่มากนัก แต่บทบาทของประเทศไทยในมิติของการผลิต กลับมีความสำคัญสูงกว่าปริมาณสำรองมาก โดยมีข้อมูลดังนี้
ปริมาณการผลิต (ปี 2024): ประเทศไทยอยู่ใน อันดับที่ 6 ของโลก โดยมีปริมาณการผลิตโดยประมาณที่ 13,000 เมตริกตัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผลิตที่สูงและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการแปรรูป: ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของโรงงานแปรรูปแร่และโรงงานผลิตแม่เหล็กถาวร ทำให้ไทยทำหน้าที่เป็น “ฐานการแปรรูปขั้นกลาง” ซึ่งเป็นจุดคอขวดที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแร่ดิบให้เป็นวัสดุขั้นสูง (High-value materials) ในห่วงโซ่อุปทานโลก
ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ประเทศไทยเป็นประตูเชื่อมต่อกับแหล่งแร่ดิบในภูมิภาค อาเซียน โดยเฉพาะ “เมียนมา” ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ทำให้สหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเข้าถึงและจัดการอุปทานแร่จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การทำ MOU กับไทยจึงมุ่งเน้นที่การลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความสามารถในการแยกสกัดและแปรรูปของไทยให้ได้มาตรฐานสากลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG) เพื่อสร้างทางเลือกที่น่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบต่ออุปทานแร่หายากให้กับโลกตะวันตก

4. ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ความร่วมมือด้านแร่หายากนี้ นอกเหนือจากมิติทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์แล้ว ยังนำมาซึ่งความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ความเสี่ยงจากกากแร่และสารเคมี: กระบวนการแยกสกัด “แร่หายาก” มักเกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีที่มีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และอาจมีกากแร่ที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ เช่น ทอเรียม ดังนั้น การจัดการกากแร่และสารเคมีเหล่านี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด
การกำกับดูแลที่รัดกุม: ความร่วมมือนี้เป็นโอกาสที่ไทยจะยกระดับความสามารถในการแยกสกัดและแปรรูปให้ได้ตามมาตรฐานสากลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG) การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ทำเหมืองและการแปรรูป และสร้างความมั่นใจในความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน (Responsible Sourcing) ให้แก่คู่ค้าในตลาดโลก
กล่าวโดยสรุป MOU นี้จึงเป็น หมากตัวสำคัญของสหรัฐฯ ในการสร้าง ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ของห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก โดยใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแปรรูปและเทคโนโลยี ที่น่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย เพื่อให้มั่นใจว่าโลกตะวันตกจะมีวัตถุดิบสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยไม่ถูกจำกัดโดยผู้เล่นรายเดียว

