ถอดรหัสการเดินทางไปต่างประเทศของทักษิณ ก่อนถึงเวลาโหวตเลือกนายกฯ ไม่ถึงวัน เขาจะกลับมาฟังคำตัดสินคดีชั้น 14 ไหม และสมมติถ้าไม่กลับมา นี่คือการหนีเพื่อหมอบ หรือหนีเพื่อตั้งหลักสู้ ?
สัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า นี่คือฉากสุดท้ายของ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ใช่วันที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ชนะโหวตได้เป็นนายกฯ คนที่ 32 แต่คือวันที่ “ทักษิณ” เดินทางออกนอกประเทศ ในช่วงเวลาสำคัญ ก่อนจะถึงเวลาโหวตอีกไม่ถึงวัน
แม้จะอ้างว่าเดินทางไปหาหมอที่สิงคโปร์ แต่ถูกกักตัวไว้ที่สนามบินนาน จึงตัดสินใจกลางอากาศ เปลี่ยนเส้นทางไปดูไบ ด้วยสุ่มเสี่ยงที่สนามบินสิงคโปร์จะปิดก่อน แล้วเครื่องลงจอดไม่ได้
แต่ในทางการบิน การไปสิงคโปร์กับดูไบ ต้องมีการตระเตรียมที่แตกต่างกันพอสมควร อันดับแรกเลยคือปริมาณน้ำมันที่เหมาะสม (ถ้าไปใกล้ เติมน้ำมันไปเยอะ เครื่องก็จะหนักโดยไม่จำเป็น ถ้าไปไกล เติมน้ำมันไปน้อย ก็เสี่ยงน้ำมันหมดกลางทาง) ทำให้ข้ออ้างการเปลี่ยนเส้นทางการบิน ฟังไม่ขึ้น
การเดินทางออกนอกประเทศครั้งนี้ของ “ทักษิณ” จึงทำให้หลายคนหวนนึกถึงการลี้ภัยของเขาเมื่อ 17 ปีที่แล้ว โดยใช้ดูไบเป็นฐานบัญชาการรบ จนทำให้เขากลับประเทศได้ในที่สุด
และถ้าสมมตินะ สมมติว่า “ทักษิณ” ตัดสินใจไม่กลับมาฟังคำตัดสินคดีชั้น 14 เพื่อตั้งหลักกลับมาสู้ต่อ แต่สภาพของ “เพื่อไทย” (ไทยรักไทย พลังประชาชน) ที่เขาปลุกปั้นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ในวันนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่า ใกล้จะล้มละลายทางการเมือง
1. ย้อนเหตุการณ์การลี้ภัยทางเมืองของ “ทักษิณ” ครั้งแรก หลังรัฐประหารปี 49
การลี้ภัยทางการเมืองครั้งแรกของ “ทักษิณ” เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ระหว่างที่เขาเดินทางไปร่วมประชุมที่สหรัฐฯ เมื่อมีการยึดอำนาจ เขาจึงตัดสินใจปักหลักอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่หยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง
เมื่อ “พรรคไทยรักไทย” ถูกยุบ ก็ได้มีการก่อตั้ง “พรรคพลังประชาชน” ขึ้นมา เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งปี 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่หวังสกัดกั้นระบอบทักษิณไม่ให้เติบโต
กระนั้นก็ตามที “พรรคพลังประชาชน” ก็ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ได้ สส. เกือบครึ่งสภา กลายเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ “ทักษิณ” เดินทางกลับประเทศด้วยมาดสุดเท่ พร้อมภาพก้มกราบแผ่นดิน เมื่อช่วงต้นปี 2551
2. ย้อนเหตุการณ์การลี้ภัยทางเมืองของ “ทักษิณ” ครั้งที่ 2
แม้ “พรรคพลังประชาชน” จะได้ครอบครองอำนาจรัฐ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลบวกต่อคดีความต่างๆ ของ “ทักษิณ” และเมื่อมีแนวโน้มอาจถูกตัดสินจำคุกในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ต่อมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ปี 2551 เขาจึงยื่นเรื่องขอเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปปฏิบัติภารกิจ แล้วก็ไม่ได้กลับไทยอีกเลย เป็นเวลาร่วม 17 ปี
หลังจากนั้นสถานการณ์ของ “พรรคพลังประชาชน” ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ “สมัคร สุนทรเวช” กับ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” หลุดจากตำแหน่งนายกฯ ตามลำดับ และได้มีเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเพื่อให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกฯ ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพ และกลุ่มของ “เนวิน ชิดชอบ” อดีตลูกน้องคนนิท ผู้ก่อตั้ง “พรรคภูมิใจไทย”
หลังจากนั้นไม่นานนัก “พรรคพลังประชาชน” ก็ถูกยุบ ก่อนกลายเป็น “พรรคเพื่อไทย” ที่ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ส่งผลให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย
3. รัฐประหาร ปี 2557 เลือกตั้งปี 2562 และเลือกตั้งปี 2566
แม้ “พรรคเพื่อไทย” จะได้คะแนนเสียงเกินครึ่งสภา แต่ในการบริหารจัดการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่น กระทั่งเปิดช่องให้ฝั่งตรงข้ามเสยปลายคางเต็มๆ จากกรณีผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง ที่ถูกมองว่า มีจุดประสงค์พาทักษิณกลับบ้าน นำไปสู่การชุมนุมประท้วงและรัฐประหาร ภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ต่อมาในการเลือกตั้ง ปี 2562 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังสามารถชนะเลือกตั้ง ได้ สส. เข้าสภามากที่สุด แต่ด้วยชนะไม่ขาด ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากยุทธศาสตร์แตกแบงก์พัน ตั้งพรรคสาขา ทำให้พรรคพี่ส่ง สส. ไม่ครอบคลุมทุกเขต เพื่อแบ่งที่ให้พรรคน้อง แต่เมื่อ “พรรคไทยรักษาชาติ” ถูกยุบก่อนวันเลือกตั้ง จึงบั่นทอนจำนวน สส. ที่เครือข่ายทักษิณควรจะได้ลงไปเป็นจำนวนมาก
แม้ในการเลือกตั้งดังกล่าว “พรรคเพื่อไทย” จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ทักษิณ ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2566 ถึงไม่ได้เป็นพรรคอันดับ 1 แต่จำนวน สส. ที่แพ้ก้าวไกลอย่างสูสี ก็ถือว่ายังมี “มูลค่าทางการเมือง” เป็นอย่างมาก
4. ทักษิณ “หมอบ” หรือ “สู้ต่อ” ?
สมมติว่า (ย้ำว่าสมมติ) ในวันที่ 9 กันยายนนี้ ทักษิณไม่ได้เข้ารับฟังคำตัดสินคดีชั้น 14 หรือถ้าเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือหนี ซึ่งถ้าใช้การหนี 2 ครั้งก่อนเป็นโมเดล ก็มีแนวโน้มว่า นี่คือกการหนี เพื่อตั้งหลักสู้
แต่หากประเมินจากสถานการณ์หลังการเลือกตั้งปี 2566 ที่ “พรรคเพื่อไทย” พลิกขั้วทางการเมือง ถูกมองว่าเป็นผู้ทรยศอุดมการณ์เสรีนิยม ทอดทิ้งมวลชนคนเสื้อแดง เพื่อแลกกับอำนาจรัฐ และทำให้ฝันได้กลับบ้านของ “ทักษิณ” กลายเป็นความจริง
สิ่งที่ทำให้แบรนด์ทักษิณแข็งแกร่งได้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี แม้จะถูกกลั่นแกล้งข่มเหงรังแกมาโดยตลอด ก็คือพลังของมวลชน โดยเฉพาะ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ทำหน้าที่ดุจดังผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้เขามาอย่างยาวนาน
ซึ่งพลังมวลชนที่ศรัทธาในแนวทางเสรีนิยมของทักษิณนี่แหละ คือสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามหวั่นเกรงที่สุด แต่เมื่อเขาเลือกทิ้งอำนาจต่อรองที่สูงที่สุดนี้ไป ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามมองว่า “ไร้มูลค่าอย่างสิ้นเชิงทางการเมือง”
ดังนั้นแล้ว ถ้าทักษิณไม่มาฟังคำตัดสินคดีชั้น 14 ในวันที่ 9 กันยายนนี้ เลือกหนทางแรก นั่นก็คือ “หนีเพื่อหมอบ” พรรคเพื่อไทยก็คงล่มสลายลงในเร็วๆ นี้
แต่สมมติว่า เขาเลือกหนทางที่ 2 หนีเพื่อสู้ แต่จากการยอมสูญเสียมวลชนเพื่อเป็นรัฐบาล ยอมทำลายต้นทุนที่สั่งสม กลายเป็นพรรคที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์ อย่าว่าแต่กลับมามีอำนาจเลย แต่การกลับบ้านได้อีกครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ นัก

