วันก่อนนี้ผมได้รับเชิญจากพี่ชาย Marut Faisal Mekloy นายก สมาคมการค้านักธุรกิจไทยมุสลิม ซึ่งได้เชิญเลขาธิการหอการค้ามุสลิมโลก Islamic Chamber of Commerce and Development – ICCD หารือกับ รมว.พาณิชย์ (คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์)
คำนึงที่ท่านเลขาธิการพูดว่า ไทยมีสินค้าที่มีตราฮาลาลส่งออกทั่งโลกมากกว่า 200,000 products!!!
หลายคนอาจมองผ่านๆ ว่าเป็นแค่การพบปะทางการทูตทั่วไป แต่ถ้าเราถอดรหัส (Decode) สิ่งนี้ในมุมธุรกิจ นี่คือการ “Unlock” ประตูบานใหญ่ที่สุดบานหนึ่งของสินค้าไทยมากกว่าเดิม
ทำไมผมถึงบอกแบบนั้น? มาดู Data กัน
ปัจจุบัน ไทยเราส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มฮาลาล เป็น “อันดับที่ 8 ของโลก” (และอันดับ 1 ของอาเซียน)
รู้หรือไม่? ไทยส่งออกสินค้าฮาลาล “อันดับที่ 11 ของโลก”
ตัวเลขนี้บอกอะไร?
มันบอกว่าเราเก่งเรื่อง “Product” ของเราดี ของเราอร่อย และมีคุณภาพ
แต่สิ่งที่เรามักจะติดขัดเสมอเวลาจะ Scale ไปตลาดตะวันออกกลาง คือเรื่องของ “Trust” และ “Standard”
การที่ระดับรัฐมนตรีคุยกับ ICCD (หอการค้ามุสลิมโลก) โดยตรง มันช่วยแก้ Pain Point ผู้ประกอบการได้ 3 เรื่องใหญ่ๆ ดังนี้….

1. ลดกำแพงที่มองไม่เห็น (Non-Tariff Barriers):
ฮาลาลไม่ได้มีมาตรฐานเดียวทั่วโลก แต่ละประเทศใน OIC (57 ประเทศ) บางทีก็มีกฎยิบย่อยต่างกัน การมีความร่วมมือระดับนี้ คือการทำให้ตรา “Halal Thailand” กลายเป็น Global Passport ที่ยื่นที่ไหนก็ผ่าน ไม่ต้องไปเสียเวลาตรวจซ้ำซ้อนหรือโดนกักสินค้า
2. เปลี่ยนสถานะจาก “คนขายของ” เป็น “หุ้นส่วนความมั่นคง”:
คีย์เวิร์ดสำคัญของข่าวนี้คือ “Food Security Hub”
กลุ่มประเทศตะวันออกกลางมีเงินมหาศาล แต่สิ่งที่เขาขาดคือ “พื้นที่เพาะปลูก” เขาไม่ได้มองหาแค่คนขายไก่หรือขายข้าว แต่เขามองหา “Partner” ที่จะการันตีว่าประชาชนเขาจะไม่อดตายในยามวิกฤต
ไทยเรามีศักยภาพตรงนี้ และการดีลระดับนี้คือการยกระดับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งกว่าแค่ซื้อมาขายไป

3. โอกาสของ High-Value Halal:
เมื่อ Trust เกิด ตลาดจะไม่ได้มองแค่ #Food แต่มันจะต่อยอดไปถึง #Cosmetic #Fashion #Wellness #longevity หรือแม้แต่ #Tourism ซึ่งเป็นเค้กก้อนใหญ่ที่ไทยยังกินส่วนแบ่งได้อีกเยอะ
4. ความใหญ่ของตลาดมุสลิม (OIC) :
ผู้บริโภคสินค้าฮาลาลมีประชากรกว่า 2,000 ล้านคน!! โดยเฉพาะตะวันออกกลาง (ซาอุฯ, UAE, South Africa) ที่กำลังเปิดประเทศและต้องการความมั่นคงทางอาหารและสินค้ากลุ่ม อาหารแปรรูป, อาหารทะเลกระป๋อง, ผลไม้กระป๋อง และเครื่องปรุงรส ซึ่งเป็นสินค้าดาวรุ่งของไทย

สรุป:
การที่สมาคมฯ ได้พา ICCD มาครั้งนี้มาถูกจังหวะและถูกทางทำให้การขยับตัวของกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมเปิดตลาดใหม่ภายใต้สถานการณ์ Trade war & Tarrifs และ Geopolitics ให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกใหม่แทน (ไป USA ก็เจอภาษี ไปจีนก็โดนกดราคา)
ดังนั้น โจทย์ของผู้ประกอบการไทยตอนนี้ ไม่ใช่แค่ทำของให้อร่อย ที่สำคัญ Halal ไม่ได้มาจากแค่ผู้ประกอบการ #มุสลิม แต่มากกว่า 70% เป็นสินค้าจากผู้กอบการที่ไม่ใช่มุสลิม
แต่คือการเตรียมมาตรฐานให้เป๊ะ เพราะ “ทางด่วน” กำลังจะสร้างเสร็จแล้ว อยู่ที่ว่ารถของคุณไม่ว่าจะมุสลิมหรือไม่ก็ตาม… พร้อมวิ่งสู่ตลาดโลกหรือเปล่า?
บทความโดย
ระวี ตะวันธรงค์
Director of Strategic Communications & Domestic Corporate Relations,
TME Institute : สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดตะวันออกกลาง

