“เธอไม่ได้พิเศษ ไม่ได้สวยงามหรือโดดเด่นเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง
ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เน่าเปื่อยผุพังไม่ต่างจากคนอื่น”
Tyler Durden – Fight Club (1999)
หากพูดถึง ‘snowflake’ โดยปกติคงหมายถึงเกล็ดหิมะสีขาว มีรูปทรงหกแฉกซับซ้อนและแตกต่างอย่างโดดเด่น เพราะความยากลำบากในการเกิด ณ อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เกล็ดหิมะจึงสวยงามและมีค่า เหมือนกับมนุษย์เราที่ต่างมีความพิเศษและสำคัญในแต่ละตัวบุคคล
แต่ปัจจุบัน snowflake กลายเป็นแสลงที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2016 ใช้เพื่อการสบประมาทเด็กที่เกิดในยุคใหม่ (ตั้งแต่ยุค millennials ลงไป) โดยคำดังกล่าวเปรียบเทียบให้เห็นถึงนิสัยของเด็กยุคนี้ที่ต้องการความสนใจ ขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะเรื่องไร้ความอดทน ที่ผู้ใหญ่ยุคก่อนหน้าต่างปักป้ายว่าเด็กรุ่นใหม่มีนิสัยตรงจุดนี้เปลี่ยนไปมาก เหมือนกับเกล็ดหิมะที่ไม่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมและแสงแดดแห่งความเป็นจริงของโลก จนกระทั่งละลายหายไปในที่สุด
ซึ่งความเป็นจริง นอกจากคำนี้จะใช้เพื่อเรียกเด็กรุ่นใหม่แล้ว คำนี้ยังถูกใช้เพื่อเป็นแสลงทางการเมืองโดยผู้มีความคิดทางการเมืองเอียงขวา เพื่อใช้สบประมาทค่อนแคะผู้ที่มีความคิดทางการเมืองเอียงซ้าย และยังใช้เพื่อเรียกคนผิวขาวหรือผิวสีที่ทำตัวขาวเกินไปในช่วงค้าทาสในศตวรรษที่ 18 อีกด้วย
เพราะสวยงามจึงเปราะบาง เพราะเปราะบางจึงไม่สามารถคงอยู่ในโลกอันโหดร้ายนี้ได้ ในบางครั้งการคิดว่าตัวเองพิเศษ ทำให้เด็กยุคใหม่เลือกที่จะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง มากกว่าหาทางออกร่วมกันเมื่อมีปัญหา จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Oxford พบว่า เพราะความคาดหวังของสังคมในปัจจุบัน บังคับให้เด็กยุคใหม่ต้องดีที่สุด ต้องเก่งที่สุดในโลกของการศึกษาและรู้ทันสังคมเสมอ เมื่อเด็กมากมายก้าวเท้าเข้ามาในโลกของการทำงาน และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ใหญ่ยุคเก่า ที่มีช่องระหว่างความคิดและการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ความอดทนที่ควรจะต้องมีจึงลดหายไป กลายเป็นสภาวะไม่อดทน ไม่เอางานเอาการแบบที่ผู้ใหญ่ยุคเก่าปักป้ายไว้ในที่สุด
นอกจากความคาดหวังของสังคมที่หล่อหลอมให้เด็กยุคใหม่มีความอดทนต่ำลงแล้ว ผู้ใหญ่ในยุคก่อนๆเองก็มีส่วนในการสร้างสังคมที่กดทับเด็กรุ่นใหม่อีกด้วย ส่วนหนึ่งจากบทความของ Alisdare Hickson กล่าวว่า ภาระที่เด็กยุคใหม่ต้องพบเจอนั้นมากและกดดันกว่าเมื่อก่อนถึง 7 เท่า ตั้งแต่การแข่งขันในการงาน การศึกษา ไปจนถึงราคาในสินทรัพย์ เช่น เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ตลาดแรงงานอาจจะยังคงอยู่ในประเทศ แต่ในปัจจุบันที่สังคมกว้างขึ้น พลเมืองประเทศกลายเป็นพลเมืองของโลกด้วย การต่อสู้เพื่อทรัพยากรของคนในปัจจุบันจึงเหมือนต้องสู้กับคนทั้งโลก และเพราะความตึงเครียดที่มากขึ้น การแข่งขันในโลกที่้เปิดกว้างขึ้น รวมทั้งคำพูดที่เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการทำลายเด็กรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้ถูกควบรวมกลายเป็นความเครียดที่แฝงตัวในสังคมจนกระทั่งเป็นสาเหตุให้เด็กมากมาย (แม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคน) เผชิญกับโรคซึมเศร้าและความเครียดในที่สุด
ดังนั้นเราอาจสรุปได้ว่า เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้มีความอดทนน้อยลงหรือเปราะบางมากขึ้น เพียงเพราะพวกเขาถูกเลี้ยงดูมาให้สบายเกินไป แต่เป็นเพราะสภาพสังคมซึ่งถูกสร้างมาโดยผู้ใหญ่นั่นแหละ ที่ทำให้พวกเขาเลือกทางที่สบายใจและง่ายที่สุด จนกระทั่งบางครั้งมันดูอ่อนแอ แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์มากมายและผู้ใหญ่ในยุคก่อนก็เริ่มเปิดใจ ทำความเข้าใจและสอนให้เด็กในปัจจุบันเชื่อในพลังของความแตกต่าง และสิทธิในตนเอง เหมือนที่ จอร์จ ทาเคอิเคยขยายความเกี่ยวกับแสลงนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “จุดเด่นของเกล็ดหิมะ คือความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่หากหิมะมีจำนวนมหาศาล หิมะก็จะถล่มโดยไม่สามารถหยุดได้ ซึ่งจะฝังคุณไว้ใต้นั้น”
ที่มา:
Business Backpacker. “ทำไมเด็กสมัยนี้อ่อนแอเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่.” http://www.cookiecoffee.com/, Business Backpacker, 24 March 2022, https://www.facebook.com/cookiecoffee/photos/a.118353518206207/7284010654973755/. Accessed 28 March 2022.
de Maricourt, Clotilde. “Who is the snowflake generation and why are they fun to hate? – The Oxford Student.” The Oxford Student, 9 June 2019, https://www.oxfordstudent.com/2019/06/09/who-is-the-snowflake-generation-and-why-are-they-fun-to-hate/. Accessed 28 March 2022.
William Earl Parrish. “A New Meaning of the Word ‘Snowflake.’” Merriam-Webster, Merriam-webster, https://www.merriam-webster.com/words-at-play/the-less-lovely-side-of-snowflake. Accessed 28 March 2022.
