The Insight NewsThe Insight NewsThe Insight News
  • More
  • The Insight News
Font ResizerAa
Font ResizerAa
The Insight NewsThe Insight News
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
  • TANK
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
  • INSIGHT
  • REPORT
  • IN TREND
  • MARKETING
  • WORLD
  • IN PHOTO
  • CALENDAR
  • LIFETIME
  • TALK
    • CASE STUDY
    • SOCIAL
  • TANK
    • MOTION PICTURE 101
    • TIME ON FEET
    • ชาวกอง
    • ร่วมด้วยช่วยแกง
    • ศึกษานารี
    • เจริญหูเจริญตา
    • ไดโนสอง
    • วัดดูยูโนว
  • Blog
  • Contact
  • My Feed
  • My Interests
  • My Saves
  • History
  • The Insight News
  • RATING
Have an existing account? Sign In
Follow US
© 2022 Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.
HOME / Editor / ภูมิ ภูริพันธ์ กับชีวิตที่ฝ่าฝันสู่บุคคลเบื้องหน้าแห่งช่อง 8 อย่างเต็มภาคภูมิ
Editor

ภูมิ ภูริพันธ์ กับชีวิตที่ฝ่าฝันสู่บุคคลเบื้องหน้าแห่งช่อง 8 อย่างเต็มภาคภูมิ

ระวี ตะวันธรงค์
Last updated: 14 ส.ค. 2022 21:38
ระวี ตะวันธรงค์
Share
SHARE

เชื่อว่าในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตท่ามกลางสังคม เราล้วนต้องขวนขวายทำอะไรสักอย่างที่ก่อเกิดทั้งความรู้ ประสบการณ์ เม็ดเงิน ตัวตน เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวัยที่ผ่านไปในแต่ละวัน และเพื่อขยับตัวเองไปสู่จุดใหม่ๆ ที่อาจจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะในฐานะสิ่งมีชีวิตประเภทมนุษย์ เราน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองอยู่เสมอๆ

และการที่เราได้ไปสัมภาษณ์ภูมิ-ภูริพันธ์ ทรัพย์แสงสวัสดิ์ เราก็มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ขวนขวายทุกอย่าง ผ่านการทำทุกสิ่ง เพื่อให้ชีวิตของเขาก้าวหน้าขึ้นในแต่ละวัน

แม้ชีวิตปัจจุบันของภูมิจะถูกเคลือบฉาบด้วยอาชีพนักแสดงในสังกัดช่อง 8 ที่มีผลงานในช่วงนี้อย่างละครเรื่อง มงกุฎกรรม ที่กำลังจะอวสาน ต่อเนื่องด้วยการรับอีกบทบาทในละครเรื่องใหม่ที่เพิ่งออกอากาศได้ไม่นานอย่าง ศีรษะมาร ชีวิตของภูมิในช่วงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากชีวิตมนุษย์ปกติทั่วไปนัก เขาขวนขวายหาลู่ทางในชีวิตมามากมาย จากต้นทุนชีวิตที่ไม่ได้เพียบพร้อมเท่าไหร่นัก ภูมิผ่านการต่อสู้ชีวิตมาหลากหลายเส้นทาง จนถึงปัจจุบันเขากลายเป็นบุคคลเบื้องหน้าที่เริ่มเป็นที่รู้จัก และสร้างชีวิตใหม่ให้กับเขาได้อย่างเต็มภาคภูมิ

วันนี้ที่ตึก RS Group Buliding เราถอดอาชีพนักแสดงของเขาออก เพื่อพูดคุยกับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ต่อสู้กับทุกเรื่องราวมาจนถึงตอนนี้ ในจุดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมาถึง และพูดคุยถึงประสบการณ์หลากหลายที่ผ่านมาของเขาให้คุณได้อ่านกัน

มีอะไรให้อ่านบ้างในบทความนี้?

Toggle
  • ภูมิ-หลัง ก่อนจะมาเป็นนักแสดง
      • ชีวิตก่อนจะเข้าวงการบันเทิงเป็นยังไงบ้าง
      • ด้วยพื้นฐานทางบ้านที่มีฐานะไม่ค่อยดี ในช่วงเวลานั้นมันส่งผลต่อตัวเองอย่างไรบ้าง
      • แบบนี้มันทำให้เราไม่มีความฝัน หรือว่าไม่มีสิ่งที่เราอยากจะเป็นในอนาคตด้วยหรือเปล่า
      • แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจประกอบอาชีพนักแสดง
      • จำวันแรกที่ได้เซ็นสัญญาได้มั้ย เล่าให้ฟังหน่อย
      • อุปสรรคในช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้าง
      • แล้วทำไมถึงเลือกที่จะมาทำงานในอาชีพนักแสดง เพราะแรกเริ่มมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย กลับกันหากลองเป็นนักกีฬา มันอาจจะเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะชัดเจนกว่าหรือเปล่า
      • จากที่ไม่ได้สนใจการแสดงมาก่อน พอต้องมารับงานแสดง เรามีวิธีการศึกษาศาสตร์นี้อย่างไรบ้าง
      • แล้วตอนนี้มีแบบแผนของเราบ้างหรือยัง
  • ภูมิ-และฐานทางด้านการแสดง
      • ปกติแล้วเป็นคน Introvert หรือเปล่า
      • พอเราเป็นคนขี้อายที่ต้องทำการแสดง เราจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นให้มันหายไปได้ยังไง
      • เล่าให้ฟังหน่อยว่าความรู้สึกเป็นยังไงบ้างที่ได้เล่นละครเรื่องแรกอย่าง สางนางพราย
      • มีบ้างมั้ยในช่วงแสดงแรกๆ แล้วมาโดนสั่งเทคเพราะเราบ่อยๆ
      • จากเหตุการณ์เฟลๆ ส่วนตัวที่เราพบเจอระหว่างช่วงไปกองถ่าย หรืออยู่ในกองถ่าย มันทำให้ภูมิคิดหนักบ้างไหมว่าเราดีพอหรือเปล่า
      • แล้วช่วงเวลานั้นผ่านมันมาได้ยังไง
      • ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่จากการแสดงละครเรื่องแรกของเรา ถ้าสูงสุดคือเต็ม 10 คะแนน
      • อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการแสดงของภูมิ
      • ร่วมงานกับช่อง 8 เป็นยังไงบ้าง
      • มาที่งานละคร มงกุฎกรรม ที่ได้แสดงกับนักแสดงรุ่นใหญ่ อย่างแอน สิเรียม เป็นอย่างไรบ้างกับการร่วมงานกันในครั้งนี้
      • แล้วความรู้สึกที่ได้รับบทพระเอกเรื่องแรกในชีวิตด้วยบทของ “ไม้” ล่ะ รู้สึกอย่างไรบ้าง
      • จนถึงขั้นว่าโอ อนุชิต ที่เคยรับบทนี้ยังชื่นชมเลย เสียงตอบรับเป็นยังไงบ้าง
      • พูดถึงผลงานเจนนี่กลางวันครับ กลางคืนค่ะ บ้าง บรรยากาศในกองเป็นยังไง เพราะดูจากรายชื่อนักแสดงแล้วอายุน่าจะไล่ๆ กัน 
      • การทำงานในซีรีส์เรื่องแรกของภูมิ รวมถึงการรับบทบาทในซีรีส์วายครั้งแรกในชีวิต เป็นยังไงบ้าง
  • ภูมิ-ใจในอาชีพที่ได้ทำ
      • การเป็นเทรนเนอร์กับนักแสดง มันมีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง
      • การที่มีคนสนับสนุนเราทั้งตอนที่เป็นเทรนเนอร์ หรือตอนเป็นนักแสดงที่จะมีนักแสดงรุ่นใหญ่มาให้คำแนะนำ แรงสนับสนุนจากตรงนั้นมันสำคัญยังไงกับภูมิบ้าง
      • คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมั้ย จากงานที่เข้ามาเยอะในช่วงนี้
      • ในตอนนี้มีเป้าหมายอะไรในชีวิตบ้าง และคิดว่าเป้าหมายนั้นทำมันสำเร็จหรือยัง
      • มองตัวเองกับอาชีพนักแสดง หรือสายงานนักแสดงยังไงบ้าง

ภูมิ-หลัง ก่อนจะมาเป็นนักแสดง

ชีวิตก่อนจะเข้าวงการบันเทิงเป็นยังไงบ้าง

ชีวิตของผมก็เป็นมนุษย์ปกติทั่วไปเลย ผมเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ก็อบอุ่นดีนะครับ แต่ก็ลำบากเรื่องการเงินอะไรแบบนี้ เพราะว่าครอบครัวไม่ค่อยมีเงิน ก่อนเข้าวงการก็เป็นนักศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จบมาก็ยังไม่ได้ทำงานอื่น เพราะเริ่มต้นงานแรกหลังจากเรียนจบที่การเข้าวงการเลย

ก่อนหน้านั้นช่วงที่เรียนมัธยมฯ ผมยังไม่ได้ทำงานเต็มตัวขนาดนั้น จนเข้ามหาวิทยาลัยพอมีเวลาว่างหรืองานอะไรที่เราพอจะทำได้เราก็จะไปทำ เช่น หลังเรียนเสร็จจะมีเวลาว่างช่วง 5 โมงเย็น – 2 ทุ่ม ผมก็ทำงานด้วยการไปสอนว่ายน้ำ เพราะว่าตัวเองเป็นนักกีฬา บางทีก็ไปเทรนหรือว่าไปสอนเด็กบ้างอะไรแบบนี้ครับ

ด้วยพื้นฐานทางบ้านที่มีฐานะไม่ค่อยดี ในช่วงเวลานั้นมันส่งผลต่อตัวเองอย่างไรบ้าง

อย่างแรกเลยเราจะไม่ได้ทำหลายๆ อย่าง เหมือนที่คนอื่นได้ทำ อย่างการไปเที่ยว หรือกินอะไรต่าง ๆ บางทีเราเห็นแล้วอยากกินแต่เราก็ไม่สามารถกินได้ หรือว่าในหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเงินมันอาจจะเป็นปัจจัยตรงนั้น แต่ไม่รู้สึกว่าเราขาด แม้กระทั่งตอนเข้ามหาวิทยาลัย หรือว่าตอนเรียนมัธยมฯ เพราะว่าช่วงเรียนมัธยมฯก็รู้สึกว่าก็ใช้คุ้มอยู่นะ แค่อาจจะไม่ได้คุ้มในเวย์ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่ใช้เงินเยอะอย่างเที่ยวห้าง การใช้คุ้มของผมน่าจะหมายถึงการได้ทำกิจกรรม ไปเตะบอลอะไรแบบนี้

ตอนอยู่มหาวิทยาลัยกิจกรรมก็ทำกิจกรรมตลอด อย่างปี 1 ก็เข้าเชียร์ หรือแข่งกีฬา ก็มีบ้างที่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนได้เพราะอยู่หอ แต่อาจจะไม่ได้ทำกิจกรรมที่มันใช้เงิน เช่นไปสังสรรค์ตอนกลางคืน เพราะทำงานตอนนั้นก็ชั่วโมงละ 90 บาท 3 ชั่วโมงก็ 270 บาท ถ้าเกิดไปเที่ยวครั้งหนึ่งมันใช้เงินเยอะ ช่วงนั้นได้เงินอาทิตย์ละ 1,000 บาท เราก็จะจำกัดว่าวันหนึ่งใช้ได้แค่ไหน มันต้องประหยัดเงินที่สุด เหลือเท่าไหร่ก็คืนแม่ หรืออย่างเงินที่ผมได้จากค่าสอนว่ายน้ำ ได้มาเท่าไหร่ก็เก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว

แบบนี้มันทำให้เราไม่มีความฝัน หรือว่าไม่มีสิ่งที่เราอยากจะเป็นในอนาคตด้วยหรือเปล่า

ผมว่าก็น่าจะมีส่วน ณ ตอนนั้นมันลำบาก เราแค่อยากทำอะไรก็ได้ให้เราหลุดพ้น อย่างตอนเรียนเราก็ไม่ได้คิดว่าเราอยากเป็นอะไร หรือว่าอยากทำอะไร เราแค่มองหาอาชีพที่มันสามารถทำเงินให้เราได้เยอะๆ เราเลยมองว่าเทรนเนอร์เป็นอีกอย่างที่สามารถทำเงินให้เราได้เพราะถ้าเราขยัน เราจะสามารถทำเงินจากชั่วโมงการเทรนได้เพิ่มขึ้น ได้เงินมากขึ้น เรามองแค่ว่าการเป็นเทรนเนอร์เราจะหาเงินได้เท่านั้นเท่านี้ พอมาเข้าวงการก็คิดแค่ว่าเรามารับจ็อบแค่นั้น เพราะเราแค่อยากทำงานเพื่อให้มันได้เงิน เราสามารถทำอาชีพอะไรก็ได้ให้เรามีเงินขึ้นมา มันเลยน่าจะทำให้เราไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น

แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจประกอบอาชีพนักแสดง

ตอนนั้นผมเข้ามหาวิทยาลัยพอดี แล้วก็ได้ลงประกวดเดือนมหาวิทยาลัยและได้รับเลือก น้าของผมรู้จักกับฝ่าย Casting ของที่อาร์เอสก็เลยลองส่งมาดู ประกอบกับที่อาร์เอสเห็นว่าเป็นเดือนมหาวิทยาลัยด้วยก็เลยให้มาแคสติ้งดู ซึ่งก็แคสต์ผ่านก็ได้เซ็นสัญญากับทางบริษัทเลย

เอาจริงๆ ตอนแรกเราไม่เอาแน่นอน เพราไม่ได้ตั้งใจเอาจริงเอาจังกับมัน เราตั้งใจถ่ายละครเป็นแค่การรับจ็อบอย่างเดียว แต่หลายคนก็บอกให้ลอง อย่างที่ฟิตเนสตอนเราเป็นเทรนเนอร์เขาก็บอกว่า “ลองไปทำดูก่อนมั้ย เพราะว่าอาชีพเทรนเนอร์จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากน้องเบื่อหรือไม่สามารถไปต่อในวงการได้จริง ๆ ทางนี้ก็พร้อมที่จะต้อนรับ” พอพี่เขาพูดมาแบบนี้เราก็โอเค เพราะฉะนั้นเราก็ทำในแบบที่เขาแนะนำ รวมถึงช่วงเดียวกันเราก็เป็นเทรนเนอร์ฟรีแลนช์ควบคู่ไปด้วย

จำวันแรกที่ได้เซ็นสัญญาได้มั้ย เล่าให้ฟังหน่อย

จำได้ว่าตื่นเต้นมาก อย่างแรกคือผมไม่คิดว่าจะสามารถทำงานในวงการได้ มันเป็นพื้นที่ดูไกลตัว และก็ไม่คิดว่าเราจะมีความสามารถหรือรูปร่างหน้าตาที่ดีพอให้เราเข้ามาทำงานในวงการได้ ซึ่งเราก็หวังมากตั้งแต่แรกว่าเราจะได้ทำ เพราะว่าเราอยากทำงาน เราอยากหาเงินมาก

อุปสรรคในช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้าง

เซ็นสัญญา 4 ปีแรก ไม่มีงานเลย มีแค่ MV ของอาร์เอสแค่ 2 ตัว (MV เพลงอยากรู้ใจจัง ของ แพรว – รัตนาพร อาร์สยาม และเพลง เสียบกลางอก ของ กล้วย อาร์สยาม – ผู้เขียน) มันทำให้เรากลับมาคิดว่าจะไม่น่าจะได้ทำงานในวงการต่อแล้ว การได้เซ็นสัญญามันคงเป็นแค่โอกาสเท่านั้นแหละ ไม่น่าได้ทำต่อแล้ว มันทำให้เราท้อ แบบไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เราเลยคิดว่าเราไม่เหมาะกับวงการแล้ว ศักยภาพเราคงไม่ถึงด้วย

แต่มันโชคดีที่ว่าช่วงไม่มีงานมันเป็นช่วงที่เราเรียนอยู่ปี 1 ถึง ปี 4 แง่หนึ่งเราก็ยังไม่ได้ทำงานเต็มตัวเพราะว่าก็ยังเรียน และก็ยังหาลู่ทางอื่นในการทำงานหาเงินด้วย ช่วงนั้นเราก็เหมือนตัดโอกาสตัวเองในการเป็นนักแสดงออกไปเลยเพราะเราคิดว่าเราคงไม่ได้ทำงานแล้ว

แล้วทำไมถึงเลือกที่จะมาทำงานในอาชีพนักแสดง เพราะแรกเริ่มมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย กลับกันหากลองเป็นนักกีฬา มันอาจจะเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะชัดเจนกว่าหรือเปล่า

อาชีพนักกีฬาก็ไม่ได้มองแต่แรกเหมือนกันครับ ส่วนตัวแล้วเรามองว่ามันไม่สามารถเลี้ยงตัวเราได้ อย่างที่เราเห็นว่ากีฬาในไทยมันอาจจะไม่ได้บูมเท่าต่างประเทศ แล้วยิ่งเป็นคำว่า “กีฬา” ได้ยินคำว่าอาชีพนักกีฬาว่ายน้ำเลย เพราะฉะนั้นสำหรับผม ผมก็ยังมองว่ามันน่าจะไม่สามารถเลี้ยงตัวเราได้ หรือเลี้ยงครอบครัวเราได้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นผมตัดอาชีพนักกีฬาออกไปได้เลย เราเลยผันตัวมาสอนว่ายน้ำ

ที่นี้เราก็มองว่าเราจะเป็นเทรนเนอร์ฟิตเนสเราจะทำเงินได้เท่านี้ๆ นะ แต่ตอนฝึกงานมันมีโอกาสเข้ามาเป็นซีรีย์ชุดวิญญาณพิศวง ก่อนที่จะมีละครเข้ามา ตอนแรกเราคิดว่าจะปฏิเสธไป เพราะว่าตลอด 4 ปีที่เราอยู่มามันไม่มีงานเลย อีกอย่างถ้าเรารับเล่นซีรีย์แล้วมันกระทบต่องานของเราไหมในตอนนี้ ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีที่ตอนนั้นผมฝึกงานอยู่ ก็เลยตัดสินใจลองดูจากโอกาสที่เข้ามา

ช่วงนั้น 1 อาทิตย์ ผมฝึกงาน 5 วัน มีวันหยุด 2 วันก็เอาเวลาไปถ่ายซีรีย์ ซึ่งมันทำเงินให้เราได้นะ แต่พอลองทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกันคือเราทำไม่ได้ สมมติเรามีนัดกอง 6 โมงเช้า ตี 4 ตี 5 เราต้องตื่นแล้ว เลิกกอง 4 ทุ่มตรง 4 ทุ่มครึ่งนู่นเราถึงได้กลับบ้าน ถึงบ้าน 5 ทุ่ม ไม่ก็เที่ยงคืน ตี 5 ก็ต้องตื่นแล้ว พอเป็นแบบนี้ติดต่อกันเรารู้สึกว่าเราเบลอไปเลย เพราะ ณ ตอนนั้นเราอาจจะไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้ พอเราเบลอแล้วเราก็ทำงานไม่ได้ เรารู้เลยว่าเราต้องมีเวลาพักบ้าง ถ้าเกิดเราฝืนทำควบคู่กันไปแบบนี้มันจะพังทั้ง 2 อย่าง เราก็เลยตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากมากในตอนนั้น จำได้ว่าตอนฝึกงานวันสุดท้ายนั่งร้องไห้อยู่หน้าฟิตเนสเพราะว่าเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเลือกมันถูกแล้วหรือเปล่า ถ้าเกิดสิ่งที่เราเลือกมันพลาดครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร มันค่อนข้างยากสำหรับเรามากทั้งที่ฝึกงานเขาก็รับเราแล้ว เรามีอีกทางเลือกหนึ่งแล้ว ซึ่งเราก็ตัดทางนั้นออกเพื่อมาเสี่ยงทางนี้ดู

จากที่ไม่ได้สนใจการแสดงมาก่อน พอต้องมารับงานแสดง เรามีวิธีการศึกษาศาสตร์นี้อย่างไรบ้าง

ถามอย่างเดียวเลยครับ สมมติว่าเราถ่ายอยู่เราก็จะต้องไปเรียนรู้จากการทำงานจริง คือเราจะได้เห็นคนที่มีประสบการณ์มากๆ หรือนักแสดงรุ่นใหญ่เขาทำงานกันอย่างไร ก็จะศึกษาจากตรงนั้น คอยถามคนนั้นคนนี้ว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง เราก็จำมาปรับใช้กับตัวเรา คอยถามผู้กำกับไปถามความเข้าใจต่างๆ จากทุกคนที่เราอยากเป็นให้ได้แบบเขา คอยศึกษาแนวทางแบบที่เขาเป็นแล้วมาปรับให้เป็นเรา ในแบบของเรา

แล้วตอนนี้มีแบบแผนของเราบ้างหรือยัง

ไม่เลยครับ (หัวเราะ) แต่ก็พยายามทำทุกวันให้เต็มที่ให้ดีที่สุดอะไรแบบนี้ครับ พยายามไม่ลอกเลียนแบบใคร ถ้าเกิดเล่นละครรู้สึกว่ามันต้องเป็นตัวละคร จะไปเลียนแบบคนๆ นี้ไม่ได้ เพราะเราคือตัวละครตัวนี้

ภูมิ-และฐานทางด้านการแสดง

ปกติแล้วเป็นคน Introvert หรือเปล่า

ไม่ครับ แต่แค่เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าคุยกับใครก่อน ถ้าสนิทก็จะคุยกันยาวเลย แต่ไม่ได้ถึงขั้นเก็บตัว ยังมีเที่ยวเล่นอยู่ปกติ เพียงแต่ว่าด้วยช่วงระยะเวลาเรียนจนถึงทำงานมันเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยเลยไม่มีโอกาสได้ออกไปไหน ด้วยภาระงานหน้าที่เราทำมันไปไม่ได้ มันเลยไม่สะดวกเหมือนเพื่อนคนอื่น

พอเราเป็นคนขี้อายที่ต้องทำการแสดง เราจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นให้มันหายไปได้ยังไง

ณ ตอนนั้นหรือครับ ไม่หาย (หัวเราะ) คือเราเป็นคนขี้อายมากแล้วไม่คิดว่าจะได้มาทำงานนี้มาก่อน มันก็เลยจำฝังใจ แต่ว่า ณ ตอนนี้มันก็ดีขึ้น มันก็อาจจะเป็นช่วงซีนแรก ๆ แล้วทำงานกับกองใหม่แรก ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกับใครเลย เข้าซีนแรก ๆ ก็อาจจะมีเกร็งบ้างแต่ว่าก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว

เล่าให้ฟังหน่อยว่าความรู้สึกเป็นยังไงบ้างที่ได้เล่นละครเรื่องแรกอย่าง สางนางพราย

โห่ มันตื่นเต้นมาก เพราะนักแสดงที่แสดงด้วยเป็นคนที่เราเคยเจอผ่านทีวีมาก่อนทั้งนั้นเลย พอเราได้ไปเจอตัวจริงเราก็เกร็งทำตัวไม่ถูก แม้กระทั่งวันที่เราฟิตติ้งเสื้อผ้าเรายังกลัวอยู่เลย กลับบ้านไปปวดหัว เครียด ไม่รู้ทำตัวยังไงต่อดี ไม่รู้ว่าจะเล่นได้มั้ย ถ้าเล่นแล้วเราจะมีงานต่อมั้ย เราจะโดนปลดมั้ย เราจะโดนถอดจากละครมั้ย

วันแรกๆ ในกองถ่ายเราก็เกร็ง และกดดัน ฉากแรกยังจำได้ถึงทุกวันนี้ว่ามันปวดหัวไปหมด มันเป็นฉากที่ไม่ได้เข้าแค่ 2 คน แต่ตัวหลักเข้ากันเกือบหมดแล้วเราก็ไปเข้าด้วย คิดในใจว่าเรามาทำอะไรตรงนี้ เราจะรอดมั้ยว่ะ จะโดนกี่เทคแล้วเล่นไปฉากนี้จะโดนปลดมั้ย มันตื่นเต้นและกลัวไปหมด

มีบ้างมั้ยในช่วงแสดงแรกๆ แล้วมาโดนสั่งเทคเพราะเราบ่อยๆ

มีอยู่ครับ (หัวเราะ) ณ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ยิ่งมีหลายๆ อย่างอยู่รอบตัวมันกังวลอยู่แล้ว กลัวว่ามันจะช้าเพราะเรา มันไม่เสียแค่เราแต่มันเสียทั้งกอง รวมถึงเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าบางทีเทคไม่ได้แปลว่าไม่ได้เลย ผู้กำกับเขาอาจจะอยากได้อีกอารมณ์นึง บางทีเราเล่นไป 2 แต่ผู้กำกับอยากได้ 4 หรือว่าเล่นอีกแบบหนึ่งรับอีกมุมนึงอะไรแบบนี้ คือมันเป็นไปได้น้อยมากที่จะเล่นแล้วไม่ได้เทคเลย ไม่ใช่แค่ตัวผมนักแสดงคนอื่นๆ อีกด้วย คือมันเป็นเหมือนกระบวนการทำงานการเทคหรือว่าถ่ายใหม่ รับมุมใหม่มันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ เลยพยายามชินกับมัน

จากเหตุการณ์เฟลๆ ส่วนตัวที่เราพบเจอระหว่างช่วงไปกองถ่าย หรืออยู่ในกองถ่าย มันทำให้ภูมิคิดหนักบ้างไหมว่าเราดีพอหรือเปล่า

จริง ๆ มันคิดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเราไม่เหมาะ จนกระทั่งเราได้มาลองทำ ความกลัวมันอยู่กับเรามาตลอด พอมาลองทำ เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายเราเล่นดีหรือไม่ดี สมมติเราเล่นโอเค แต่ในตัวเราก็มีความไม่มั่นใจอยู่นิดๆ ว่าตัวเราเล่นดี เพราะเราใหม่มากๆ เราไม่รู้เลยว่าที่มันผ่าน เพราะเขาไม่ไหวกับเราแล้ว หรือที่มันผ่านเพราะมันผ่านจริงๆ ช่วงแรกๆ รู้สึกเป็นแบบนั้น

แล้วช่วงเวลานั้นผ่านมันมาได้ยังไง

ต้องเรียกว่าเราจำเป็นต้องผ่านมันไปให้ได้ครับ เราต้องพยายามศึกษาจากคนรอบๆ ตัวเราทั้งหมดเลยว่าเราควรจะทำอย่างไร เล่นได้หรือยัง หรือเราจะเล่นได้ได้ยังไง ปรึกษาพี่ ๆ ที่ร่วมงานด้วยกัน ผู้กำกับ พี่ PR ต่างๆ คนที่อยู่ในวงการจะคอยถามตลอด ว่าเราควรจะปรับด้านไหน มีอะไรที่เราควรจะพัฒนาเพิ่มบ้าง

ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่จากการแสดงละครเรื่องแรกของเรา ถ้าสูงสุดคือเต็ม 10 คะแนน

ให้ 2 (หัวเราะ) คือรู้สึกว่ายังต้องพัฒนาอีกเยอะ รู้สึกว่าตัวเองใหม่มาก ๆ เราต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการแสดงของภูมิ

น่าจะเป็นการทำความเข้าใจตัวละคร ถ้าเกิดว่าเราไม่เข้าใจตัวละครมันจะไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเลย มันยากมากสำหรับเรา เพราะว่ามันต้องใช้จินตนาการสูง ต้องใช้ความเข้าใจว่าตัวละครตัวนี้ไปเจอมาแบบนี้นะ มันต้องคิดขนาดไหนวะ ตัวละครตัวนี้เป็นคนแบบนี้ แล้วเขาจะแสดงออกกับอาการเหล่านี้ยังไง บางคนเสียใจอาจจะร้องไห้ แต่บางคนเสียใจอาจจะไม่ร้องไห้ก็ได้ บางคนโกรธอาจจะเก็บแต่บางคนอาจจะระเบิดเลยก็ได้ มันคือความเข้าใจต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก

ร่วมงานกับช่อง 8 เป็นยังไงบ้าง

มีความสุขครับ สนุกทุกครั้งที่ได้ร่วมงาน (หัวเราะ) ช่องดูแลดีมาก

มาที่งานละคร มงกุฎกรรม ที่ได้แสดงกับนักแสดงรุ่นใหญ่ อย่างแอน สิเรียม เป็นอย่างไรบ้างกับการร่วมงานกันในครั้งนี้

ด้วยการที่เราเห็นหน้าพี่ ๆ เขามานานมากแล้ว เวลาร่วมงานเราก็จะมีความกดดันระดับหนึ่ง เพราะหนึ่งมันยังเหมือนเดิมตรงที่เราเคยเห็นหน้าพี่ๆ เขามานาน เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ เราจะเกร็ง เราจะกังวล เพราะฉะนั้นแรก ๆ มันจะมีความไม่กล้าคุย ไม่กล้าพูดด้วย กลัวแบบจะดูเล่นเกินไป มันจะเสียงานมั้ย

แต่พอได้ทำงาน เราก็รู้จักพี่เขานอกจากหน้าจอที่เคยเห็น และได้รู้จักว่าพี่แอนเป็นคนน่ารักมาก มีอะไรพี่เขาก็คอยแนะนำตลอด บางครั้งเราก็ไปปรึกษา คอยถามเรื่องการแสดง เวลาพี่แอนมีอะไรแนะนำมาเราก็จะปรับใช้กับตัวเรา รวมถึงพี่ๆ คนอื่นๆ ในกองด้วยนะครับอย่างพี่ออย (ธนา สุทธิกมล) ก็ถาม มีโอกาสได้คุยกัน แต่จริงๆ จะเกร็งพี่ออยมากกว่าเพราะพี่เขาค่อนข้างจะดูนิ่ง แต่พอได้คุยเล่นก็ดูเป็นคนสนุกสนาน ตรงนี้มันก็ทำให้ช่องว่างระหว่างกันมันลดน้อยลง เลยทำงานได้ง่ายขึ้น

แล้วความรู้สึกที่ได้รับบทพระเอกเรื่องแรกในชีวิตด้วยบทของ “ไม้” ล่ะ รู้สึกอย่างไรบ้าง

สำหรับบทนี้เราก็กดดันกันพอสมควร ด้วยตัวละครมันแบ่งเป็น 2 พาร์ต คือรุ่นพ่อกับรุ่นลูก เปิดเรื่องมาเรายังเป็นเด็ก ผ่านมาครึ่งเรื่องมันข้ามเวลามา 9 ปี เปลี่ยนนักแสดงยกชุดเลย ฉะนั้นเรื่องที่มันผ่านมาครึ่งหนึ่งแล้วเรามารับช่วงต่อ เราจะกังวลว่าผู้ชมหรือแฟนละครจะติดภาพที่เล่นกับพี่แอน เพราะว่าเขาเล่นได้น่ารักมาก ทีนี้พอมันเปลี่ยนพาร์ตละครเป็นรุ่นโตอย่างเรา แฟนๆ เขาจะเบื่อมั้ย เขาจะติดภาพเดิมหรือเปล่า หรือบางครั้งเราก็กังวลว่าเขาจะไม่ชอบ ด้วยคาแรกเตอร์มันก็เปลี่ยนไปพอสมควร

รวมถึงเรื่องนี้ผมได้รับบทที่มันมากขึ้นกว่าเดิม หมายถึงว่ามันจะมีเส้นเรื่องของตัวมันเองเยอะขึ้น พอบทมันขยับขึ้นมาระดับหนึ่งแบบที่เราไม่เคยเล่นมาก่อน เราไม่เคยเข้าพระเข้านางกับนางเอกกันแบบในเรื่องนี้ น้ำตาล (ทิพนารี วีรวัฒโนดม) เป็นนางเอกคนแรกในชีวิตผมเหมือนกัน เลยตื่นเต้นนิดหน่อย ระหว่างนั้นก็ได้คุยกันว่าน้ำตาลก็จบมาทางการแสดงโดยตรง ฉะนั้นพอมีอะไรก็จะปรึกษาน้ำตาลด้วย

จนถึงขั้นว่าโอ อนุชิต ที่เคยรับบทนี้ยังชื่นชมเลย เสียงตอบรับเป็นยังไงบ้าง

จริง ๆ พอ timeskip มาถึงบทที่เราได้เล่น ก็มีโอกาสได้ดูในไลฟ์ ค่อนข้างไปในแนวทางที่ดี แฟนๆ ก็ชื่นชมในตัวละครตัวนี้ แล้วก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่โอ ซึ่งเราก็ขอบคุณพี่โอมากๆ เพราะว่าเรามีอะไรก็คอยปรึกษา พี่เขาก็คอยแนะนำ

พูดถึงผลงานเจนนี่กลางวันครับ กลางคืนค่ะ บ้าง บรรยากาศในกองเป็นยังไง เพราะดูจากรายชื่อนักแสดงแล้วอายุน่าจะไล่ๆ กัน 

อันนี้เป็นซีรีส์เต็มเรื่องแรกที่ได้เล่น อย่างละครเขาจะมีนักแสดงรุ่นใหญ่ รุ่นโต แต่ซีรีย์เรื่องนี้คือเป็นนักแสดงที่วัยเดียวกันหมด กองก็เลยค่อนข้างเฮฮาเหมือนเรามาทำงานแล้วเราเจอเพื่อนที่แบบวัยเดียวกัน มีอะไรเราก็คุยกัน ปรึกษากัน มันก็ราบรื่นมากขึ้น อย่างพักกองก็เหมือนมาเล่นกับเพื่อนเลย แทบไม่ได้เหมือนมาทำงาน ด้วยกองนี้มันวัยรุ่นหมดมันก็เลยสนุกสนานมาก

การทำงานในซีรีส์เรื่องแรกของภูมิ รวมถึงการรับบทบาทในซีรีส์วายครั้งแรกในชีวิต เป็นยังไงบ้าง

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้เล่นบทนี้ จริงๆ เรื่องนี้ต้องทำการบ้านเยอะมาก ด้วยเวลาถ่ายเพียงแค่ 3 วัน แล้วเป็นซีรีส์สั้นความยาวประมาณหนังเรื่องหนึ่ง เลยต้องทำการบ้านกับมันเยอะมาก เพราะว่าระยะเวลาถ่ายมันน้อยมาก และมีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก เพราะรู้ตัวว่าได้เล่นแบบกระชั้นชิด อยู่ดีๆ รู้ว่าได้เล่น วันพรุ่งนี้คุยกับผู้กำกับเลย อาทิตย์หน้าก็เริ่มถ่ายแล้ว ตกใจมาก มันคืออะไร เราต้องเล่นอะไรบ้าง บทก็ยังไม่ได้เห็นเลยตอนนั้น

พอได้ไปอ่านบทกับทำ Workshop ก็เหมือนได้ไปแชร์ประสบการณ์กับพี่ๆ นักแสดง ได้พูดคุยกัน รับรู้เรื่องราวของตัวละครให้มากขึ้น ผู้กำกับเล่าเรื่องให้เราได้ซึมซับและเข้าใจตัวละครให้มากขึ้น เราต้องพยายามนั่งนึกถึงเหตุการณ์ตามที่ผู้กำกับเล่าแล้วก็พยายามรวบรวมทั้งหมดให้มันอยู่ในตัวเราให้ได้

ไปเล่นวันแรกก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่าไหร่ แต่หลังจากได้ถ่ายไป ก็ได้ทำความรู้จักกับตัวละครมากขึ้นอีกระดับ ได้ซึมซับบรรยากาศ ได้ซึมซับกับคู่ที่เราเล่นด้วย มันก็ทำให้เราอินกับตัวละครมากขึ้น และมันก็ทำให้เราไม่ได้คิดว่าเป็นความรักของผู้ชายกับผู้ชาย แต่มันก็เป็นความรักเป็นรูปแบบหนึ่ง เป็นการรักกันของคนสองคนแค่นั้นครับ

ภูมิ-ใจในอาชีพที่ได้ทำ

การเป็นเทรนเนอร์กับนักแสดง มันมีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง

เป็นเทรนเนอร์ถ้านับจริงๆ ผมเป็นได้แป็บเดียว เลยไม่รู้ว่าพอทำมานานมากเข้าจะเป็นยังไง แต่ถ้าถามว่าต่างมั้ยคือต่างมาก เพราะการทำงานวงการบันเทิงนี้มันแบกรับความกดดันหลายอย่าง อาชีพเทรนเนอร์เราจะเป็นการเทรนตัวต่อตัว พอมีอะไรก็จะคอยถามกับลูกเทรนว่าต้องการแบบไหน แต่การทำงานนักแสดงมันเป็นการทำงานกับคนหมู่มาก เราจะต้องเจอคนอื่นตลอดเวลา สมมติเราเปลี่ยนกองเราก็จะเจอผู้คนใหม่หมดเลยซึ่งถ้าเราก็ไม่รู้จักแต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร เราได้รู้จักคนมากมาย เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ จากคน เราได้เรียนรู้นิสัยหรือพฤติกรรมว่าคนนี้เป็นอย่างไร การทำงานกับคนหมู่มากมันยาก เพราะมันต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน เราไม่รู้เลยว่าการทำแบบนี้มันอาจจะดีสำหรับอีกคนหรืออาจจะไม่ดีสำหรับอีกคนก็ได้ เราก็เลยระวังตัวเองระดับหนึ่ง และก็ต้องเรียนรู้ไป ค่อยๆ ปรับตัวไป

การที่มีคนสนับสนุนเราทั้งตอนที่เป็นเทรนเนอร์ หรือตอนเป็นนักแสดงที่จะมีนักแสดงรุ่นใหญ่มาให้คำแนะนำ แรงสนับสนุนจากตรงนั้นมันสำคัญยังไงกับภูมิบ้าง

ค่อนข้างมีความสำคัญครับ เพราะเราทำงานตัวคนเดียว แบกรับความเครียดหลายอย่างจากที่เราเป็นหน้าใหม่ในวงการด้วย ทั้งวงการเทรนเนอร์และวงการบันเทิง ดังนั้นการที่มีคนเข้ามาคอยซัพพอร์ตเรา ช่วยเรา แนะนำเรามันเป็นอะไรที่ดีมาก บางทีเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราหลงทาง  หรือเรากำลังไปในทางที่ถูกต้องหรือเปล่า การที่มีใครสักคนมาคอยชี้ทางเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควร มันเป็นอะไรที่ดีมาก และมันช่วยฮีลใจเราได้ดีมาก บางทีเราไม่รู้เลยว่าเราเล่นดีแล้วนะแต่ว่าเราไม่รู้ตัวเราเลยเพราะเราไม่ค่อยมั่นใจ บางทีก็มีมาบอกว่าดีแล้วน้องแต่ติดอยู่นิดนึงต้องพัฒนาตรงนี้นะ มันช่วยเราได้มาก

คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมั้ย จากงานที่เข้ามาเยอะในช่วงนี้

ไม่เลย คิดว่าแค่เป็นจุดเริ่มต้นของเราแค่นั้นเอง จุดที่ประสบความสำเร็จของผมมันยังคงอีกไกลมากๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าประสบความสำเร็จของเราเป็นยังไง ณ ตอนนี้คือเรากำลังทำงานให้ดีที่สุดกับบทบาทที่เราได้รับ เราพยายามตั้งใจทำให้เต็มที่ที่สุด ณ ตอนนี้ คิดแค่นี้เลย

ในตอนนี้มีเป้าหมายอะไรในชีวิตบ้าง และคิดว่าเป้าหมายนั้นทำมันสำเร็จหรือยัง

เป้าหมายในตอนนี้คืออยากจะปลดหนี้ให้ที่บ้าน แล้วก็อยากมีบ้านสักหลังหนึ่ง อย่างอื่นคือยังไม่ได้คิดเลยครับ ตัวเรารู้ตัวว่าเรามีหนี้มาตั้งแต่เด็กครับ มันอึดอัด อยากจะหลุดพ้นจากจุดนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จดี ด้วยพื้นฐานครอบครัวผมลำบากมากตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ ระหว่างนั้นมันก็ค่อนข้างล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะเริ่มพยุงตัวเองได้แค่นั้นเอง ผมรู้สึกว่าหนี้มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มันรั้งเราอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหลุดพ้นจากจุดนี้เมื่อไหร่ ก็คิดว่าน่าจะมีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เป็นเป้าหมายเราในอนาคตมากขึ้นบ้าง แต่ตอนนี้เอาเป้าหมายแค่ตอนนี้เลยก็น่าจะขอโฟกัสแค่จุดนี้จุดเดียวก่อนครับ

มองตัวเองกับอาชีพนักแสดง หรือสายงานนักแสดงยังไงบ้าง

ผมรักในอาชีพนี้มาก เพราะว่าเราไม่เคยทำมาก่อน เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาชีพนี้เลย พอได้ทำเรารู้สึกชอบและสนุกกับมัน เราก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมาย เลยรู้สึกว่ามันเป็นงานที่สนุกนะ และมันโชคดีมากที่เรามีความสุขกับการทำงานที่ทำให้เราได้สิ่งตอบแทนเป็นเงิน

ณ ตอนนี้ผมก็ยังคงได้รับบทบาทใหม่ๆ เรื่อยๆ และพยายามทำมันให้ดีที่สุดเพราะว่าเรารู้สึกสนุกและรักในการแสดง พอเราได้รับบทใหม่เราก็จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้แสดง และทุกครั้งเราพยายามทำมันให้เต็มที่มากที่สุด เราแค่ต้องการแสดงในบทบาทใหม่ไปเรื่อยๆ ในบทที่มันท้าทายมากขึ้นกับสายงานของเรา

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine
TAGGED:back of hausช่อง 8ดารานักแสดงนักแสดงหน้าใหม่ภูมิ ภูริพันธ์มงกุฎกรรมละครหลังข่าว
Share This Article
Email Copy Link Print
Previous Article ที่รักมักที่ใช่ เมื่อคนเลือกฟังข่าวจากคนที่ (คิดว่า) ใช่ มากกว่าคนที่คิดว่าจริง
Next Article ทุกคน(ไม่)เท่ากับสื่อ เมื่อประชาชนอยากเป็นนักข่าว ต้องเข้าใจอะไรบ้าง?
ไม่มีความเห็น

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

The Insight News

ศูนย์รวมข่าวสารเชิงลึก ที่ยึดมั่นในความจริง สร้างมาตรฐานใหม่ของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม
FacebookLike
XFollow
InstagramFollow
LinkedInFollow
MediumFollow
QuoraFollow
- Advertisement -
Ad image

You Might Also Like

EditorINSIGHTPOLITICS

เทียบผลโพลภาคตะวันออก VS ผลเลือกตั้งล่าสุด กลุ่มยังไม่ตัดสินใจสูงเป็นที่ 1   

By Srawut
Editor

เพศกำเนิด : บททดสอบและความท้าทายจากสังคมที่ทรานส์แมนต้องเผชิญ

By adisak.mha
Editor

“Arnold” ชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ “Arnold Schwarzenegger”

By ระวี ตะวันธรงค์
Editor

“We told พระแม่ลักษมี about …” เมื่อความรักในเมืองนี้มันหายาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นคำตอบ

By adisak.mha
The Insight News
Facebook Twitter Youtube Rss Medium

About US


BuzzStream Live News: Your instant connection to breaking stories and live updates. Stay informed with our real-time coverage across politics, tech, entertainment, and more. Your reliable source for 24/7 news.
Top Categories
Usefull Links
© Foxiz News Network. Ruby Design Company. All Rights Reserved.